ในทุกความสำเร็จของ ‘EVE’S’ แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากผมคนเดียว หลายชีวิตมีส่วนร่วม ทุกคนมีความสำคัญแตกต่างกันไปตามบทบาทที่ได้รับ และหลอมรวมแต่ละส่วนเข้าด้วยกันจนสร้างให้ EVE’S เป็นองค์กรที่แข็งแกร่งในวันนี้
แม้ผม คุณอีฟและคุณจ๋า จะอยู่ในสถานะของ 3 หุ้นส่วนหลัก แต่มากกว่านั้นคือ EVE’S ยังมีตัวแทนจำหน่ายที่เป็นเหมือนฟันเฟืองในการขับเคลื่อนองค์กร และมีลูกค้าเป็นผู้คอยให้การสนับสนุนด้วยความเชื่อมั่นตลอดมา
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้มีแค่เรื่องของความสำเร็จหรือการเติบโตทางธุรกิจเท่านั้น แต่ความรักความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นจากการร่วมมือกันของคนกลุ่มเล็ก ๆ จนขยายเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างหากที่มีคุณค่าในความรู้สึกอย่างมากมาย
และผมเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะทุกคนล้วนมี DNA เดียวกัน
พวกเรามี ‘DNA EVE’S’ อยู่ในสายเลือดครับ
นี่จึงไม่ใช่แค่การร่วมธุรกิจ แต่พวกเราเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง เหมือนคนในครอบครัวที่พร้อมจะช่วยดูแลชีวิตกันและกันด้วยความรักและความจริงใจ
หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างเส้นทางเดินของ EVE’S อาจมีดีบ้าง ร้ายบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านมาแล้ว วันนี้ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ดี สนุก และน่าเรียนรู้สำหรับผมเสมอ
ผมจึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกดี ๆ ทั้งหมดที่มีผ่านหนังสือเล่มนี้ ให้ใครก็ตามที่ยังไม่เคยรู้จัก EVE’S มาก่อน รวมถึงใครก็ตามที่อาจจะเคยรู้จัก EVE’S มาบ้างแล้ว แต่อยากรู้จักให้มากขึ้น
และจะมากยิ่งกว่านั้นหากได้รู้จักแล้วทำให้คุณค้นพบว่าตัวเองมี DNA เดียวกันกับพวกเรา หากมั่นใจว่าคุณ ‘ใช่’ มาเลยครับ มาเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
ในทุกความสำเร็จของ ‘EVE’S’ แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากผมคนเดียว หลายชีวิตมีส่วนร่วม ทุกคนมีความสำคัญแตกต่างกันไปตามบทบาทที่ได้รับ และหลอมรวมแต่ละส่วนเข้าด้วยกันจนสร้างให้ EVE’S เป็นองค์กรที่แข็งแกร่งในวันนี้
แม้ผม คุณอีฟและคุณจ๋า จะอยู่ในสถานะของ 3 หุ้นส่วนหลัก แต่มากกว่านั้นคือ EVE’S ยังมีตัวแทนจำหน่ายที่เป็นเหมือนฟันเฟืองในการขับเคลื่อนองค์กร และมีลูกค้าเป็นผู้คอยให้การสนับสนุนด้วยความเชื่อมั่นตลอดมา
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้มีแค่เรื่องของความสำเร็จหรือการเติบโตทางธุรกิจเท่านั้น แต่ความรักความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นจากการร่วมมือกันของคนกลุ่มเล็ก ๆ จนขยายเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างหากที่มีคุณค่าในความรู้สึกอย่างมากมาย
และผมเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะทุกคนล้วนมี DNA เดียวกัน
พวกเรามี ‘DNA EVE’S’ อยู่ในสายเลือดครับ
นี่จึงไม่ใช่แค่การร่วมธุรกิจ แต่พวกเราเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง เหมือนคนในครอบครัวที่พร้อมจะช่วยดูแลชีวิตกันและกันด้วยความรักและความจริงใจ
หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างเส้นทางเดินของ EVE’S อาจมีดีบ้าง ร้ายบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านมาแล้ววันนี้ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นได้กลายเป็นประสบการณ์ที่ดี สนุก และน่าเรียนรู้สำหรับผมเสมอ
ผมจึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกดี ๆ ทั้งหมดที่มีผ่านหนังสือเล่มนี้ ให้ใครก็ตามที่ยังไม่เคยรู้จัก EVE’S มาก่อน รวมถึงใครก็ตามที่อาจจะเคยรู้จัก EVE’S มาบ้างแล้ว แต่อยากรู้จักให้มากขึ้น
และจะมากยิ่งกว่านั้นหากได้รู้จักแล้วทำให้คุณค้นพบว่าตัวเองมี DNA เดียวกันกับพวกเรา หากมั่นใจว่าคุณ ‘ใช่’ มาเลยครับ มาเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
ทุกการก้าวเดินของ EVE’S นับจากจุดเริ่มต้นจนถึงวันนี้ไม่ง่ายเลยครับ กว่าจะได้สัมผัสความสำเร็จเราต้องผ่านหลายเหตุการณ์ ได้พบเจอหลายความสุข มีความทุกข์ปนมาบ้างสลับกันไป
พร้อม ๆ กับที่มีหลายวิกฤติให้เราได้เรียนรู้ที่จะแก้ไขและหาทางออกให้ตัวเอง แต่แปลกตรงที่ว่า ยิ่งเกิดวิกฤติมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้เราค่อย ๆ เรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น จนสุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤติที่เกิดขึ้นแต่ละช่วงเวลาทำให้ EVE’S รอบรู้และเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ผมเองก็เหมือนกันครับ ทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมาผมเติบโตได้ด้วยวิกฤติ สำหรับผมวิกฤติไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติผมเชื่อเสมอว่านั่นคือโอกาสในการเติบโต
ดังนั้นเมื่อต้องพบกับวิกฤติครั้งใด ผมจะรู้ทันทีว่า โอกาสมาถึงแล้ว เพียงแต่มีข้อแม้อยู่นิดหน่อยว่า เราต้องเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
0
“ด้วยความเป็นพี่ สิ่งที่ทำให้ผมมีมากกว่าน้อง ๆ คือ การเป็นผู้นำ การเป็นหัวหน้า และการรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น”
ผมเติบโตมาในครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น และเพราะมีสถานะเป็นพี่ชายคนโตจึงถูกปลูกฝังมาตลอดให้รู้จักเสียสละและแบ่งปัน โดยผู้ใหญ่เป็นฝ่ายทำสิ่งเหล่านี้ให้เด็ก ๆ รุ่นผมได้เห็นและซึมซับความมีน้ำใจต่อกันอยู่ตลอด
หนึ่งในภาพจำติดตาของผมคือการที่มักเห็นผู้ใหญ่ในครอบครัวเสียสละให้ลูก ๆ หลาน ๆ ได้ล้อมวงกินข้าวกันจนอิ่มก่อนทุกมื้อ เราได้เห็นการตักอาหารให้กัน การเฉลี่ยอาหารแต่ละอย่างให้ทุกคนได้กินด้วยกันอย่างเต็มที่
สิ่งเหล่านี้ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นคุณยาย รุ่นคุณแม่ และจนมาถึงรุ่นผม
ด้วยความเป็นพี่ สิ่งที่ทำให้ผมมีมากกว่าน้อง ๆ คือ การเป็นผู้นำ การเป็นหัวหน้า การรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และการเอื้อเฟื้อน้ำใจให้แก่กัน ทั้งหมดนี้ค่อย ๆ ซึมซับสู่จิตสำนึกในแบบที่ผมเองก็แทบไม่รู้ตัว
สิ่งที่กล้าพูดได้เต็มปากคือครอบครัวผมแม้จะไม่ได้มีพื้นฐานที่ร่ำรวยแต่ทุกคนมากด้วยน้ำใจครับ
ชีวิตวัยเด็กของผมดูจะราบรื่นดี ช่วงประถมผมยังสอบเข้าโรงเรียนประจำได้ด้วยตัวเอง และการอยู่โรงเรียนประจำนี่เองที่สร้างให้ผมเป็นเด็กที่สามารถดูแลตัวเองได้ดี มีระเบียบ มีแนวคิดหลายด้านเป็นระบบและค่อนข้างโตกว่าอายุ
คิดว่ามุมมองของการเป็นผู้นำและนักวางแผนน่าจะมีจุดเริ่มต้นจากตรงนี้ ชัดเจนที่สุดคือผมมักจะชอบคุยกับรุ่นพี่ หรือกับคนที่มีอายุมากกว่า ในขณะที่กับคนวัยเดียวกันผมรู้สึกว่าเรามักจะคุยกันไปคนละแนว
การฝึกฝนตัวเองในโรงเรียนประจำของผมดำเนินไปด้วยดีเรื่อยมาถึงช่วงเรียนมัธยมต้น โดยที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าช่วงนั้นครอบครัวประสบปัญหาอะไรบ้าง
จนวันหนึ่งเมื่อกลับมาบ้านก็ได้ยินพ่อแม่ทะเลาะกัน เข้าใจว่าเป็นปัญหาทางการเงินถึงขั้นทำให้ต้องมีการกู้ยืมเพื่อนำมาเป็นค่าเทอมของผม อีกทั้งค่าเทอมสำหรับการเรียนโรงเรียนประจำนั้นค่อนข้างสูงกว่าโรงเรียนทั่วไป
ได้ยินดังนั้นหลังจากเรียนจบมัธยมปีที่ 3 ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกครับ ผมตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะลาออกย้ายโรงเรียนเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในครอบครัว และเพื่อให้ภาระทางการเงินของพ่อแม่ลดลง
เชื่อว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเรียนรู้ที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นคงเกิดจากเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
ผมบ่มเพาะตัวเองจากสิ่งรอบข้างเรื่อยมา ได้เรียนรู้สิ่งดี ๆ ที่พ่อแม่สอนจนถึงทำให้เห็น และยังได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พบเจอ ทำให้พอจะเริ่มรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร
จึงพยายามเลี่ยงสิ่งที่ไม่ชอบ พร้อม ๆ กับการมุ่งไปหาสิ่งที่ชอบอยู่ตลอดเวลา
“ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียว ที่คิดจะประกอบอาชีพเป็นลูกน้องคนอื่น”
การที่วันหนึ่งผมมีโอกาสเติบโตจนได้เป็นเจ้าของธุรกิจ ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย เพราะที่ผ่านมาก็รู้ตัวอยู่ตลอดว่าคงไม่สามารถเป็นพนักงานประจำองค์กรใดได้
และไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียวที่คิดจะประกอบอาชีพเป็นลูกน้องคนอื่น
ความชัดเจนนี้มีมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ จริง ๆ แล้วการเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ในวัยนั้นถือว่ายังไม่ได้เกิดจากความชอบส่วนตัว แต่เลือกที่จะเรียนตามเพื่อนเพราะวัยนั้นผมยังค้นหาตัวเองไม่เจอ
แต่ก็คิด ๆ อยู่บ้างว่าตัวเองเรียนสายวิทย์และเก่งคณิตศาสตร์ หากจะเรียนเศรษฐศาสตร์ก็คงได้ ยังไม่รู้หรอกว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไร น่าจะไม่พ้นสายการเงินการธนาคารซึ่งก็ดูเป็นอาชีพที่ดี น่าเชื่อถือ ตอนนั้นคิดแค่นั้นจริง ๆ ครับ
มาถึงช่วงที่เรียนปี 3 ผมมีโอกาสได้ไปฝึกงานพร้อมเพื่อนอีก 2 คนในองค์กรหนึ่ง ระหว่างฝึกงานก็ค่อย ๆ รับรู้ถึงความต้องการของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่างานออฟฟิศคงไม่ใช่ทางของผมแน่ ๆ
เพราะงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละวันคือการเดินเอกสาร คีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ นั่งประจำออฟฟิศทั้งวัน คำถามที่เกิดขึ้นในใจตั้งแต่วันแรกของการฝึกงานและวันแรกของการนั่งคีย์ข้อมูลก็คือ
“กูมานั่งทำอะไรที่นี่วะ”
จนวันหนึ่งที่มีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมกับกลุ่มผู้บริหารและเจ้าหน้าที่องค์กร ระหว่างที่นั่งรอประชุมผมกระซิบถามเพื่อนอีก 2 คนว่า
“ถ้าให้ทำงานออฟฟิศทั้งวันแบบนี้ที่ดูแล้วไม่น่ามีอะไรคุ้มค่าเลย แต่ให้เงินเดือน 30,000 บาทเอาไหม”
เพื่อนผมทั้งสองคนตอบเหมือนกันเลยครับ “เอาสิ” แต่ผมตอบสวนไปว่า “กูไม่เอาว่ะ กูอยู่ตรงนี้ไม่ได้แน่”
ครั้งนั้นแม้จะเป็นบทสนทนาสั้น ๆ แต่มาคิดตอนนี้ผมว่านั่นเป็นการตอกย้ำทัศนคติของตัวเองได้ชัดเจนมากว่า
ผมไม่ยอมทนอยู่กับ ‘สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง’ แน่นอน
“ลองค้นหาดูว่า…จริง ๆ แล้ว ‘ตัวเองชอบอะไร’ และ ‘ใช้ชีวิตอยู่กับอะไรแล้วจะมีความสุขที่สุด’”
หลังจากฝึกงานครบตามกำหนดผมกลับไปเรียนต่อจนจบ เริ่มจะรู้จักตัวเองมากขึ้น จึงพยายามมองหา ‘สิ่งที่ใช่’ และค่อย ๆ ตัด ‘สิ่งที่ไม่ใช่’ ออกจากเป้าหมาย
ช่วงนั้นได้รู้จักและเริ่มคบหากับคุณอีฟแล้วครับ สิ่งที่มีนอกเหนือจากการเป็นคนรักกันเรายังเป็นที่ปรึกษาให้กันและกันโดยเฉพาะในเรื่องการทำงานด้วย
คุณอีฟผ่านการทำงานมาหลายองค์กร แต่ก็มีหลายครั้งที่คุยกับผมในเรื่องงานจนทำให้รู้สึกได้ว่าเขาเริ่มไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ ผมจึงบอกเสมอว่า
“ลาออกเถอะ ออกไปหาตัวเองให้เจอ ลองหางานที่ทำแล้วมีความสุขดีกว่า”
คุณอีฟเชื่อผมครับ และเริ่มที่จะออกไปลองทำงานในหลายองค์กร ไปค้นหาว่าจริง ๆ แล้ว ‘ตัวเองชอบอะไร’ และ ‘ใช้ชีวิตอยู่กับอะไรแล้วจะมีความสุขที่สุด’
ส่วนผม ช่วงที่กำลังมองหางานทำหลังเรียนจบคุณอีฟแนะนำให้เข้าไปทดลองงานในองค์กรใหญ่แห่งหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
ผมเบรกตัวเองทันทีเมื่อคิดว่าเราจะต้องเข้าไปทำงานในออฟฟิศอีกครั้ง แต่คุณอีฟที่รู้ดีว่าผมไม่ชอบงานแนวนี้ต้องรีบบอกว่า “ไม่ใช่งานออฟฟิศ นี่เป็นงานในทีมอีเวนต์”
ฟังได้เท่านี้ผมเบาใจขึ้นหน่อย อย่างน้อยงานอีเวนต์ก็น่าจะสนุกกว่างานออฟฟิศอยู่แล้ว จึงตอบตกลงและเตรียมตัวเข้าไปลองสมัครตามคำแนะนำ
เพราะถ้าจะค้นหาสิ่งที่ชอบสิ่งที่ใช่ก็คงต้องลองทำดู
ตอนนั้นคาดหวังว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เรียนรู้การทำงานนอกสถานที่ และจะได้ไปเก็บประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วย งานที่ต้องออกไปพบเจอผู้คน ไปจัดอีเวนต์ตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่ซ้ำกันในแต่ละสัปดาห์แค่คิดก็น่าสนุกแล้วครับ
แต่ช่วงสัมภาษณ์งานผมกลับรู้สึกว่าตัวเองตอบคำถามไม่ได้เรื่องเลย ไม่ว่ามุมไหนก็ดูว่าไม่น่าจะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับองค์กรได้ โดยเฉพาะการขาย ผมคงขายของไม่ได้ และพื้นฐานครอบครัวก็ไม่เคยค้าขายมาก่อน
ไม่รู้ว่าผู้สัมภาษณ์มองเห็นอะไรในตัวผม เพราะสุดท้ายแล้วผมผ่านการสัมภาษณ์และได้เริ่มทำงานกับองค์กรนี้ทันทีในตำแหน่ง ‘จ้างทำของ’ ต้องอยู่กับงานนี้ 3 เดือนโดยไม่มีการเซ็นสัญญาเป็นพนักงานประจำ จะเข้าออกเมื่อไรก็ได้
ผมเริ่มงานวันแรกโดยยังไม่รู้ว่า ‘จ้างทำของ’ ใน ‘งานอีเวนต์’ ที่ว่านี้คืออะไร ยังไม่รู้ว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง แต่หลังจากได้ฟังรายละเอียดของงานในระหว่างการประชุมทีม สุดท้ายก็เข้าใจและบอกกับตัวเองว่า
“อ๋อ เป็นพนักงานขายซิมโทรศัพท์นี่เอง”
“ไม่ว่าจะพูดหรือให้คำมั่นอะไรไว้… ผมไม่เคยลืม”
ในตำแหน่งงาน ‘จ้างทำของ’ หน้าที่ของผมคือต้องออกไปจัดบูธของบริษัทในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เน้นพื้นที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน องค์กรจะส่งทุกคนในทีมออกไปประจำตามบูธเพื่อกระตุ้นยอดขายซิมโทรศัพท์มือถือ
ผมต้องคอยแนะนำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้รู้จักผลิตภัณฑ์ของเราว่า ดีกว่าของค่ายอื่นอย่างไร เพื่อดึงเขาเข้ามาเป็นลูกค้ารายเดือนให้ได้ แม้จะผิดคาดกับสิ่งที่คิดไว้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้นึกเสียใจอะไรกับงานนี้
ตอนนั้นคิดแค่ว่า “ลองทำดูก็ได้วะ มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่หว่า”
ช่วงแรกของการทำงานมีเพื่อนถามบ่อยเหมือนกันว่า “จบเศรษฐศาสตร์มาทำงานแบบนี้ทำไม” คำตอบของผมคือ “ก็ไม่ได้อยากทำหรอก” แน่นอนครับว่าไม่ได้ตอบออกไป ผมแค่คิดอยู่ในใจ เมื่อต้องตอบจริง ๆ ก็มักเลี่ยงว่า
“ทำไปพลาง ๆ ระหว่างรองานอื่นแค่นั้นแหละ เดี๋ยวครบ 3 เดือนตามสัญญาผมก็ไปแล้ว” และนั่นเป็นเหมือนคำประกาศให้ทุกคนรับรู้ตรงกันว่า ครบ 3 เดือนเมื่อไรไอ้หมอนี่ไปแน่นอน
ตลอดช่วง 3 เดือนผมพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแม้จะรู้ตัวอยู่ตลอดว่าคงทำงานในองค์กรไหนไม่ได้ เพราะชีวิตยังต้องการอิสระที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองอยู่มาก แต่บางความรู้สึกก็บอกตัวเองเสมอว่านี่ไม่ใช่ชีวิตแบบที่ต้องการเลย
สิ่งหนึ่งที่ช่วยปลุกแรงบันดาลใจให้ผมได้มากในช่วงนั้นคือ ระหว่างการออกบูธหากช่วงไหนมีคนน้อยหรือไม่มีลูกค้า ผมจะนั่งอ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลา และก็เป็นหนังสือประเภทเสริมความคิดที่จะมุ่งสู่ความสำเร็จทั้งนั้น
หนังสือ ‘พ่อรวยสอนลูก’ เป็นหนึ่งในหนังสือหลายเล่มที่ผมเลือกอ่าน บางเล่มช่วยสร้างทัศนคติที่ดี บางเล่มช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เราไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ บางเล่มช่วยสร้างแนวคิดสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ
และบางเล่มก็ชี้ช่องทางให้เราก้าวสู่การเป็นเจ้าของเงินล้านแรกในชีวิต
จนผมต้องหยิบกระดาษแผ่นเล็ก ๆ มาเขียนตั้งคำถามเตือนตัวเองทุกวันว่า ‘เราจะมีเงินล้านได้อย่างไรดี’
เผลอแวบเดียวผมก็ทำงานกับองค์กรนี้ครบ 3 เดือน แต่ในวันสุดท้ายของการทำงานปรากฏว่ามีข่าวดีคือ ทุกคนในตำแหน่งเดียวกับผมได้รับอนุมัติให้เข้าเป็นพนักงานประจำขององค์กรพร้อมรับโบนัสจากการทำงานครั้งนี้ด้วย
ทุกคนต้องดีใจอยู่แล้ว เพราะจะได้เป็นพนักงานบริษัทแบบเต็มตัว มีเงินเดือนประจำ ภายใต้ความหวังว่าชีวิตหลังจากนี้จะต้องไปได้ดี เหมือนเป็นจังหวะของการได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานพร้อมกันของคนในทีม
แต่ท่ามกลางความดีใจของเพื่อนฝูง ผมกลับย้อนคิดถึงสิ่งที่เคยพูดไว้ว่า “ถ้าครบ 3 เดือนจะลาออก” พูดอะไรไว้ผมไม่เคยลืม แต่คิดอยู่ว่า เราจะออกอย่างไร จะออกเดือนไหน และจะบอกหัวหน้าอย่างไรในวันที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกับข่าวดีนี้
จนเมื่อมีเพื่อนเดินมาถามว่า “มึงจะลาออกเดือนนี้ใช่ไหม”
ผมตอบทันที “ใช่ กูจะลาออกเดือนนี้แหละ”
“เมื่อชีวิตดำเนินมาแล้วต้องไปต่อ เราควรเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดได้ทุกสถานการณ์”
ผมเป็นคนรักษาคำพูดครับ สิ่งใดที่ได้พูดออกไปแล้วนั่นหมายถึงผมมั่นใจว่าตัวเองจะต้องทำได้ หากทำไม่ได้ก็จะไม่พูด ไม่กล้ารับปากกับใคร
สัจจะเป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่าจะปกป้องให้เรายืนอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ
ครั้งนั้นก็เหมือนกัน ผมตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานประจำทั้งที่เพิ่งได้รับการบรรจุยังไม่ครบ 24 ชั่วโมง หลังจากที่ตอบเพื่อนไปแล้วผมก็เดินไปพบหัวหน้าทันที บอกเขาไปตามตรงครับว่าจะขอลาออก
หัวหน้าแปลกใจกับการตัดสินใจของผมมาก เพราะช่วงเวลานั้นทุกคนกำลังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น และหลายคนกำลังจะมีชีวิตใหม่ แล้วทำไมผมถึงตัดสินใจจะทิ้งอนาคตไปแบบนี้
ผมให้เหตุผลว่าจะลาออกไปเป็นเซลส์ หัวหน้ายังใจดีบอกให้กลับไปคิดใหม่ แต่ผมก็ยืนยันว่าคิดดีแล้ว จนในที่สุดเขาก็ยินยอมเซ็นอนุมัติให้ลาออกได้ตามที่ขอ
ผมไม่เคยคิดว่าการเป็นพนักงานประจำจะเป็นเรื่องเสียหายหรือไม่มีค่า เพียงแต่มันไม่เหมาะกับคนอย่างผมที่ยังอยากใช้เวลาเพื่อค้นหาให้พบว่าจริง ๆ แล้วตัวเองชอบอะไร
ลาออกแล้วก็มานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตหลังจากนี้ พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งทำธุรกิจขาย ‘ลูกชิ้นปลาทอด’ และกำลังไปได้ดีถึงขั้นจะสร้างโรงงานผลิตเป็นของตัวเองเพราะกระจายแฟรนไชส์ไปแล้วหลายสาขา
ผมโทรหาเพื่อนทันทีที่คิด บอกไปว่า “กูขอซื้อรถขายลูกชิ้นพร้อมอุปกรณ์คันหนึ่ง”
เพื่อนตอบกลับมาทันทีเหมือนกัน “กูไม่ขายให้มึง อย่ามาตลก คนอย่างมึงเนี่ยนะจะขายลูกชิ้นทอด บ้าหรือเปล่า”
งานนี้ต้องย้ำกับเพื่อนครับว่าผมเอาจริง แต่ตัวเองไม่มีประสบการณ์ จะมีก็แค่เงินเก็บนิดหน่อย ที่จะกังวลก็คือทักษะการทอดลูกชิ้นที่ยากสำหรับผม แต่ก็คิดว่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ด้วยการหาคนมาช่วยทอดแทน
ปรากฏว่าเพื่อนตกลงครับ ผมเลยได้เริ่มธุรกิจการเช่าทำเลที่เลือกเองซึ่งเป็นบริเวณหน้าปากซอยหัวมุมถนน ผมยกให้เป็นทำเลระดับ 4 ดาวเพราะมีผู้คนผ่านเข้าออกตลอดวัน และผมก็ไม่รอช้า พร้อมเปิดร้านทันที
โชคที่ได้คุณป้าซึ่งเป็นเพื่อนของคุณแม่คุณอีฟมารับหน้าที่ทอดลูกชิ้นตั้งแต่วันแรก โดยเราวางระบบงานกันว่าคุณป้าเป็นคนทอดลูกชิ้น ผมจะคอยเรียกลูกค้า ยอดขายวันแรกก็พอได้ แต่ก็ได้แค่วันเดียวครับ
เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นคุณป้าส่งสัญญาณมาว่า ทำไม่ไหวแล้ว
และแน่นอนว่าตอนนั้นผมอยู่ที่ร้านคนเดียว
ร้านขายลูกชิ้นปลาหน้าปากซอยหัวมุมถนนของผมในตอนนั้นมีทุกอย่างครบยกเว้นคนทอด ผมไม่มีคนทอดลูกชิ้นในขณะที่พร้อมเปิดร้านแล้ว แต่จะให้ผมทิ้งไปคงไม่ได้
“เอาวะ กูทอดเองก็ได้” ผมบอกตัวเอง
ชีวิตดำเนินมาแล้วต้องไปต่อครับ เราควรเอาตัวรอดให้ได้ในทุกสถานการณ์ ผมลุยต่อทันที โทรหาเพื่อนคนเดิมเพื่อถามไปทีละขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมน้ำมัน ปรับระดับไฟ วิธีการและระยะเวลาในการทอด ถามทุกอย่างเพื่อให้ได้ขายในวันนี้
ลูกชิ้นสามสี่ถุงแรกมีไม่สุกบ้างไหม้บ้างก็คัดออกครับ เก็บที่ดีมีคุณภาพไว้ขายลูกค้า คนเดียวทำทันบ้างไม่ทันบ้างแต่วันนั้นก็ดันยอดขายไปได้ 12 กิโลกรัม และวันถัดมายอดขายก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
หนึ่งวันเต็มที่ต้องทำทุกอย่างคนเดียวผมเข้าใจเลยว่า ทำไมคุณป้าคนทอดลูกชิ้นจึงปฏิเสธและไม่มาช่วยผมขายอีก เพราะมันเหนื่อยมากครับ งานนี้ไม่ใช่เล่น ๆ แรก ๆ อาจจะเก้ ๆ กัง ๆ อยู่บ้างแต่ไม่นานก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง
สมองผมคำนวนตัวเลขทันทีว่า ถ้าขายได้ประมาณนี้หักต้นทุนแล้วเดือนหนึ่งเราน่าจะมีรายได้ราว ๆ 25,000 บาท
แค่นี้ผมพอใจแล้วครับ เพราะไม่ได้คิดว่าเราจะต้องรวยแบบรวดเร็ว แต่ได้ทำธุรกิจของตัวเอง ได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่เป็นของตัวเองจริง ๆ ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ
ช่วงนั้นถ้าคุณอีฟมาช่วยผมขายลูกชิ้นด้วยกันทั้งวันก็คงเสียโอกาสที่จะมีรายได้ทางอื่น คุณอีฟจึงหันไปรับงานพริตตี้ให้กับสินค้าต่าง ๆ ควบคู่ไปด้วย เสร็จงานแล้วก็จะแวะมาช่วยผม
เท่ากับว่าเราสองคนใช้เวลาได้คุ้มค่า เพราะจะมีรายได้ 2 ทางในแต่ละวัน และเรายังเลือกเส้นทางในแบบที่ตัวเองต้องการ เพราะชีวิตที่แสนเหน็ดเหนื่อยในช่วงนั้นมีให้เลือก 2 ทางเท่านั้นครับ
ว่าเราจะ ‘ไปกันต่อ’ หรือจะ ‘ยอมแพ้’ อยู่แค่นั้น
“เชื่อสิ่งที่หัวใจตัวเองบอก เพราะนั่นอาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น”
แม้กิจการขายลูกชิ้นปลาทอดจะมาพร้อมความเหนื่อยยากต่าง ๆ นานา แต่ผมก็สามารถดูแลกิจการมาได้นานเกือบ 7 เดือน และเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมรู้สึกว่าชักจะชอบอาชีพนี้ขึ้นมาแล้ว
เพียงแต่ต่อมาผมก็ต้องคิดใหม่ เพราะดูแล้วคงยึดอาชีพนี้ต่อไปได้ยาก
สิ่งที่ผมได้เจอหลังจากที่กิจการเริ่มไปได้สวยคือ เริ่มมีร้านลูกชิ้นทอดเข้ามาเปิดขายแข่งในพื้นที่ใกล้เคียง ต่อมาพื้นที่เช่าของร้านเราก็โดนขยับให้เข้าไปตั้งในจุดที่ลึกกว่าเดิมเพื่อให้มีร้านอื่นเข้ามาแทนที่
เราจึงไม่ใช่ร้านแรกที่ลูกค้าจะมองเห็นได้ชัดเจนเหมือนเคย ผมคิดทันทีว่าเราเจอวิกฤติแล้ว การที่ลูกค้ามองไม่เห็นร้านเราย่อมมีผลต่อรายได้ นี่ยังไม่รวมวันที่มีฝนตกนะครับ เพราะฝนตกเมื่อไรเราจะขายของได้น้อยมาก
เมื่อรายได้ต่อวันลดลงผมก็ต้องย้อนกลับมาวางแผนชีวิตใหม่ เลยให้คุณอีฟช่วยมองหางานในทีมอีเวนต์ต่าง ๆ ให้ เพื่อนำมาเทียบกันว่า การขายลูกชิ้นทอดกับการทำอีเวนต์ในวันนั้น ๆ งานไหนรายได้ดีกว่ากันผมก็จะเลือกงานนั้น
ผมยังสนใจงานอีเวนต์เพราะทำให้ได้ออกไปพบผู้คน ได้เข้าสังคม เหมือนได้ไปสังเกตการณ์ว่าในช่วงนั้นกระแสสังคมเป็นอย่างไรหรือมีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นบ้าง ถ้าวันไหนเลือกไปงานอีเวนต์ผมก็จะปิดร้านลูกชิ้นทอดชั่วคราวทันที
จริง ๆ แล้วผมยังอยากขายลูกชิ้นปลาทอดไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่ต้องตัดสินใจทำก็อาจไม่ตรงกับที่ใจคิด เพราะเราต้องดูสถานการณ์จริงเป็นหลัก หากทำเลไม่ดี ลูกค้าเข้าไม่ถึง ขายได้น้อย เราก็พอรู้แล้วว่าคงยึดอาชีพนี้ไว้ได้ไม่นาน
สุดท้ายกิจการลูกชิ้นปลาทอดของผมก็ต้องปิดตัวลงในช่วงไม่นานหลังจากนั้น
แต่ก็ถือว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่ทำให้ผมได้เจอจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตอีกครั้ง
ระหว่างการเตรียมจัดงานคอนเสิร์ตศิลปินจากเกาหลีใต้ซึ่งผมรับงานนี้ เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่จัดงานพบว่ากลุ่มทีมงานที่มารับงานนี้ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นวัยมัธยมทั้งนั้น
ผมเข้าไปนั่งอยู่ในแวดล้อมของเด็ก ๆ ที่แน่นอนว่าคุยกันคนละเรื่องอยู่แล้วระหว่างเด็กมัธยมและคนวัยทำงาน งานในวันนั้นที่ผมได้รับมอบหมายคือการร้อยเชือกเพื่อทำป้ายชื่อสำหรับใช้คล้องคอแฟนคลับ
ทันทีที่ร้อยเชือก…ไม่กี่วินาทีนับจากที่ลงมือทำสมองผมแล่นไปไกลจากจุดนี้แล้ว ย้อนกลับไปในอดีต ย้อนกลับไปรื้อค้นกล่องความฝันของตัวเอง ย้อนไปคิดถึงความหวังของพ่อแม่ แล้วก็นั่งถามตัวเองในใจซ้ำไปซ้ำมาว่า
“ตั้งแต่เด็กจนโตกูเรียนดีมาตลอด กูเคยคิดอยากเป็นทนาย เป็นอัยการ กูอยากสร้างตัวเอง อยากมีเงินเป็นล้าน อยากดูแลพ่อแม่ให้สุขสบาย แล้ววันนี้กูมานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่ จะเอาความหวังของพ่อแม่มาทิ้งที่นี่เหรอ”
ผมนั่งอยู่ตรงนั้นไม่เกิน 5 นาทีครับ ทันทีที่ฟังเสียงหัวใจตัวเองสมองก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว สุดท้ายผมก็วางงานทำป้ายในมือ ขอตัวไปห้องน้ำแล้วไม่กลับเข้าไปทำงานที่นั่นอีกเลย
ผมเชื่อสิ่งที่หัวใจตัวเองบอก เพราะนั่นอาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในช่วงเวลานั้น
จึงชัดเจนในตัวเองอีกครั้งว่า งานอีเวนต์อาจไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการจริง ๆ และงานร้อยเชือกทำป้ายห้อยคอในวันนั้นที่ดูเหมือนเป็นงานที่ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมากมายก็มาช่วยจุดประกายความคิดให้ผม
ให้ต้องคิดทำอะไรสักอย่างในชีวิตอีกครั้ง
“ผมคงนึกเสียดายมากกว่า หากมีโอกาสแล้วไม่กล้าลอง และปล่อยให้มันผ่านไป”
ผมมาพบโอกาสอีกครั้งหลังจากที่ไปร่วมงานบวชของเพื่อนสมัยเรียน ครั้งนั้นได้เจอรุ่นพี่คนหนึ่ง สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาเราเคยสนุกเคยเกเรมาด้วยกัน
พูดคุยกันก็ได้รู้ว่าปัจจุบันรุ่นพี่คนนี้ขายเสื้อผ้าอยู่แถวตลาดจันทร์เกษม และธุรกิจไปได้ดีจนร่ำรวย มากกว่าการเล่าสู่กันฟังคือการที่พี่เขาชวนให้ผมเข้าสู่ ‘วงการค้าขายเสื้อผ้า’ โดยมีเขาช่วยสนับสนุนและแนะนำลู่ทางให้
ผมเห็นโอกาสจึงตัดสินใจทำแม้จะรู้ว่าตัวเองไม่ได้ถนัด แต่คิดว่าลองดูก็ไม่เสียหาย ไม่นึกกลัวว่าทำแล้วจะดีหรือไม่ดี ผมคงนึกเสียดายมากกว่าหากมีโอกาสแล้วไม่กล้าลองและปล่อยให้มันผ่านไป
สมัยเป็นนักศึกษาผมเคยได้เห็นชีวิตแม่ค้าขายเสื้อผ้าอยู่บ้าง ทำให้พอรู้ขั้นตอนการทำธุรกิจแนวนี้ว่าจะเริ่มต้นและปิดจ๊อบที่ไหนอย่างไร
คุณอีฟเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ผมจึงนำเงินเก็บจากการขายลูกชิ้นปลาทอดมาลงทุน รวมทั้งได้เงินจากแม่ที่เฝ้าหยอดกระปุกให้ผมมาทีละน้อยตั้งแต่ยังเด็ก เงินก้อนนั้นทำให้เราได้รถยนต์เก่ามา 1 คัน
และผมกับคุณอีฟใช้รถคันนี้ไปลุยเลือกเสื้อผ้าที่ประตูน้ำกันตั้งแต่ตี 4
ภารกิจแรกของการเปิดร้านสนุกมากครับ เราได้เสื้อผ้ามาเซ็ตใหญ่พร้อมราวแขวนเพื่อโชว์สินค้า ร้านเราอยู่ที่ตลาดเช้าแถวรัชดาภิเษกโดยรุ่นพี่คนเดิมเป็นคนช่วยจัดหาและแนะนำให้ มีค่าเช่าพื้นที่วันละ 500 บาท
เราขายเสื้อผ้าให้กับลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานออฟฟิศซึ่งมักจะแวะมาช้อปปิ้งก่อนเข้าทำงาน วันแรกเราขายเสื้อได้แค่ 3 ตัว ถามว่าท้อไหมตอบได้เลยว่าไม่ ผมเข้าใจสถานการณ์ของการค้าขายว่าต้องมีวันที่ขายดีและขายไม่ดีสลับกันไป
พอรุ่นพี่รู้ว่าขายได้น้อยก็นำเสื้อผ้าร้านผมบางส่วนไปช่วยวางขายในร้านของเขา พร้อมทั้งหาทำเลใหม่ด้านหน้าตลาดให้ผมด้วย ย้ายทำเลแล้วก็พอขายได้ รายได้ดีกว่าทำเลเดิม แต่ก็ไม่ถึงกับดีมากจนทำให้ผมวางใจ
คิดไปคิดมาปรึกษาคุณอีฟแล้วก็ตัดสินใจชวนกันย้ายไปเปิดร้านแถวคลองหกปทุมธานีซึ่งผมเคยเรียนอยู่แถวนั้น เรียกว่ากลับไปถิ่นเก่าที่ตัวเองคุ้นเคยก็คงได้
การกลับไปคลองหกครั้งนี้ผมเทเงินทุนแบบหมดหน้าตัก เพราะต้องใช้เงินในการมัดจำร้าน ไหนจะค่าตกแต่ง ซื้อเคาน์เตอร์ ซื้อราวแขวนผ้าเพิ่มเข้ามาเพราะตั้งใจจะโชว์เสื้อผ้าให้เต็มร้าน วันไหนมีตลาดนัดก็จะขนเสื้อผ้าออกไปวางขายด้วย
หลายชั่วโมงในแต่ละวันผมหมดเวลาไปกับการขับรถจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เพราะบ้านอยู่นนทบุรี ไปเลือกเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ โดยที่ร้านอยู่คลองหก และก็เป็นแบบนี้เกือบทุกวัน
จนผมเองก็ไม่ทันคิดว่าอีกไม่นานชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยกำลังจะได้พบกับจุดเปลี่ยนอีกแล้ว
“ต้องประเมินสถานการณ์ให้ไว เพื่อเลือกทางที่ใช่ที่สุด”
การที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดและรีบเร่งทำทุกอย่างตลอดทั้งวันเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากครับ ผมใช้ชีวิตแบบไม่มีวันหยุดโดยตัวเองเป็นหลักประจำอยู่ที่ร้าน และคุณอีฟยังคงสลับไปรับงานพริตตี้เพิ่มรายได้อีกทางเช่นเคย
จนวันหนึ่งคุณอีฟบอกผมว่า อยากขอพื้นที่สักมุมหนึ่งของร้านเพื่อวางขายครีมที่รับมาจากร้านของเพื่อนแม่ ผมเห็นว่าพื้นที่ในร้านยังพอมีก็ตกลงทันที เราไปหาซื้อตู้กระจกราคาไม่กี่พันบาทมาจัดวางไว้หลังร้านในมุมที่มองเห็นได้ชัด
และใช้เงินทุนก้อนสุดท้ายที่มีไว้สำหรับหมุนเวียนซื้อเสื้อผ้าไปซื้อครีมตัวนี้มาขาย
ชีวิตผมและคุณอีฟตอนนั้นไม่มีอะไรจะเสียครับ เราเดินทางร่วมกันมาแล้วก็ต้องจูงมือกันเดินต่อ และที่ผ่านมาหลายงานหลายกิจการเราก็ทำควบคู่กันมาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นจะขายเสื้อผ้าไปพร้อมกับขายครีมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือยากอะไร
จุดประสงค์แรกที่คุณอีฟคิดจะรับครีมมาขายเกิดขึ้นเพียงแค่ลองซื้อมาใช้เองแล้วพบว่าใช้ดีก็เลยอยากบอกต่อ เหมือนเจอของดีแล้วอยากบอกเพื่อนทำนองนั้น
ไม่ได้คิดหรอกครับว่านั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรบางอย่าง
ปรากฏว่าครีมที่นำมาวางขายนั้นขายดีมาก ไป ๆ มา ๆ ยอดขายครีมเริ่มจะแซงยอดขายเสื้อผ้าด้วยซ้ำ ผมกับคุณอีฟจึงมาคิดต่อยอดกันอีกขั้นว่า เราควรมีครีมในชื่อของเราเพื่อให้เป็นที่จดจำของลูกค้า
เป็นที่มาของแนวคิดที่จะรับครีมมาสร้างแบรนด์ตัวเอง โดยเราใช้ชื่อว่า ‘ลักษณมี’
ครีมขายดีมากจนอดนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ว่า ธุรกิจร้านเสื้อผ้าที่มีรายได้น้อยกว่า แต่เราต้องตื่นแต่เช้ามืดไปเลือกเสื้อผ้าแล้วกลับมาเหนื่อยกันอีกทั้งวันจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน และบ่อยมากที่ได้กินข้าวมื้อแรกของวันกันตอน 5 โมงเย็น
ในขณะที่ครีม เราแค่วางโชว์ไว้รอให้ลูกค้ามาลองซื้อใช้ และเมื่อใช้ดีเขาก็มาซื้ออีก รวมทั้งยังไปบอกกันปากต่อปาก จากที่เริ่มขายได้ 5 กระปุกก็เพิ่มเป็น 10 กระปุก และเพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ จนเรามีกำไรแตะหลักพันบาทในเวลาไม่นาน
จึงต้องประเมินสถานการณ์ให้ไวเพื่อเลือกทางที่ใช่ที่สุดในช่วงเวลานั้น
ดังนั้น เมื่อเห็นโอกาสนี้แน่นอนว่าผมสละเรือทันทีครับ ร้านเสื้อผ้าหากไปต่อไม่ไหวเราก็จะผ่อนแรงลงเพื่อพุ่งเป้าหมายมายังสินค้าที่ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าจะพาเราไปได้อีกไกล และผมคงไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน
จุดที่ทำให้ผมคิดแบบนี้และตัดสินใจเลือกขายครีมเป็นธุรกิจหลักของชีวิตก็คือ หลังจากนั้นไม่นานใน 1 เดือนเราขายครีมได้เพิ่มอีกประมาณ 300 กระปุก เริ่มได้กำไรหลักหมื่นบาท และมีแนวโน้มว่าจะเข้าสู่หลักแสนบาทได้ไม่ยาก
ที่สำคัญคือยุคนั้นเฟซบุ๊กเริ่มมีบทบาทอย่างมาก คนไทยเริ่มเล่นเฟซบุ๊กกันมากขึ้น และคุณอีฟที่ยังรับงานพริตตี้ก็มีคนติดตามเฟซบุ๊กส่วนตัวอยู่ประมาณ 1,700 คน
จำนวนนี้แม้จะดูเหมือนไม่เยอะมาก แต่ทุกครั้งที่โพสต์ขายครีมก็มีคนสั่งซื้อจนเราแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน นาทีนั้นทำให้ผมมองเห็นโอกาสครั้งใหญ่ที่มาพร้อมกับ ‘โลกออนไลน์’ ได้ชัดเจนมาก
และเชื่อว่าระบบออนไลน์จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจในอนาคตอย่างแน่นอน
“ทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่ เพื่อให้ยังมีเวลาเหลือมากพอ ที่จะไปตามหาสิ่งที่ใช่ให้เร็วที่สุด”
ในที่สุดปี 2554 ผมกับคุณอีฟก็ตัดสินใจยกเลิกร้านขายเสื้อผ้าเพื่อหันมาเอาจริงเอาจังกับการขายครีมในตลาดออนไลน์แบบเต็มตัว ทั้งที่เพิ่งคัดเสื้อผ้ามาขายกันไม่กี่วันก่อนหน้านั้น แต่ผมยอมขาดทุนครับ
เรายอมเสียค่ามัดจำสินค้า ค่าวัสดุต่าง ๆ ราวแขวน เคาน์เตอร์ หุ่นโชว์ที่ซื้อมาในราคาหลักหมื่น สรุปแล้วเราอยู่กับธุรกิจเสื้อผ้ามาประมาณ 5-6 เดือน แต่คิดถี่ถ้วนแล้วว่าคงไม่มีทางทำกำไรหมุนเวียนกลับคืนมาถึงเราได้แน่
บางทฤษฎีบอกว่า “คุณต้องอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วทำมันซ้ำ ๆ ทำบ่อย ๆ วันหนึ่งจะเห็นผล”
แต่ในทฤษฎีของผม “หากคุณอยู่กับสิ่งใดแล้วพบว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่จะพาคุณไปสู่เส้นทางที่ต้องการได้ ให้รีบเปลี่ยนไปตามหาสิ่งที่ใช่กว่าทันที”
อย่าไปเสียเวลาครับ ทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่เพื่อให้ยังมีเวลาเหลือมากพอที่จะไปตามหาสิ่งที่ใช่ให้เร็วที่สุด การเปลี่ยนเร็วไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความอดทน แต่ควรอดทนกับสิ่งที่มีความเป็นไปได้ให้มากกว่า
หลายคนไม่กล้าเปลี่ยน ทั้งที่การลังเลไม่กล้าตัดสินใจอาจทำให้พลาดหลายโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย ผมเองถ้ามองสถานการณ์แล้วเห็นลู่ทางชัดผมเปลี่ยนเส้นทางทันที จะไม่ปล่อยให้โอกาสดี ๆ ผ่านไป
ไม่เคยกลัวล้ม เพราะเชื่อมั่นว่าถึงจะล้มบ้างก็ต้องลุกขึ้นไปต่อได้
หลังจากเข็มทิศชีวิตเปลี่ยนทางผมพาธุรกิจเข้าสู่กระแสตลาดออนไลน์ทันที ยุคแรกของการขายครีมในตลาดออนไลน์เมืองไทยสนุกมาก สินค้าของเรายังคงขายดี และเราก็ยังดำเนินธุรกิจในสไตล์รับมาขายไปเหมือนเดิม
ไม่นานผมก็เริ่มหาลู่ทางในการขยายฐานสินค้า จากที่เราตั้งต้นด้วยครีมสำหรับผิวหน้า ผมก็พยายามมองหาครีมชนิดอื่น ๆ เลือกครีมสำหรับผิวกายดูบ้าง จากนั้นก็เริ่มเลือกซื้อครีมมาทดลองใช้กันเองเพื่อหาตัวที่ดีที่สุด
พยายามเพิ่มช่องทางให้ธุรกิจของเรามีความหลากหลายขึ้น
ต่อเนื่องจากนั้นผมเริ่มสร้างฐาน ‘ตัวแทนจำหน่าย’ และที่ไม่เหมือนใครก็คือ ตัวแทนจำหน่ายของผมล้วนเริ่มต้นจากการเป็น ‘ลูกค้า’ แทบทุกคน
นั่นเพราะลูกค้ามั่นใจในคุณภาพสินค้าครับ เมื่อได้ลองใช้แล้วรู้ว่าครีมของเราดีจริง ผิวหน้าผิวกายของเขาดีขึ้นจนเห็นได้ชัด เขาจะกล้าเปลี่ยนตัวเองจากการเป็น ‘ลูกค้า’ มาเป็น ‘ตัวแทนจำหน่าย’ ทันที
เพราะผิวหน้าและผิวกายของเขาย่อมเป็นหลักประกันในคุณภาพของครีมที่เขาจะขายได้ดีที่สุด
ผมกับคุณอีฟตั้งใจเลือกครีมที่มีคุณภาพเท่านั้น และเราเริ่มต้นจากการซื้อมาใช้เอง ตัวไหนใช้ดีเก็บไว้ ตัวไหนใช้ไม่ดีคุณภาพไม่ได้เราคัดทิ้งทันที
หลักการนี้ผมยึดถือมาถึงปัจจุบัน ของดีมีคุณภาพเท่านั้นที่เราจะขายให้กับลูกค้า
ผ่านไป 2 ปีธุรกิจของเราค่อย ๆ เติบโตและมีแนวโน้มดีมาเรื่อย ๆ ผมจึงวางเป้าหมายต่อไปทันทีว่าจะสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นของเราเอง 100 เปอร์เซ็นต์
และจะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางออนไลน์ที่ลูกค้าสามารถเชื่อมั่นในคุณภาพได้ 100 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน
“ในช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี วิกฤติอาจมาเยือนได้ทุกเมื่อ”
เมื่อคิดจะเปลี่ยนรูปแบบจากการ ‘รับมาขายไป’ เป็นการ ‘ทำครีมของตัวเอง’ ขั้นต่อมาผมพุ่งเป้าไปที่การพูดคุยกับโรงงานเพื่อผลิตครีมของเรา
และสำคัญกว่านั้นคือการตั้งชื่อแบรนด์ ผมกับคุณอีฟช่วยกันตั้งชื่อแบรนด์ของเราว่า ‘พริตตี้อีฟส์’
ใช่แล้วครับ เราคือครีมของพริตตี้นั่นเอง
ชื่อแบรนด์ของเราเกิดขึ้นแบบตรงไปตรงมา เพราะคุณอีฟเป็นพริตตี้ เราไม่หนีห่างไปจากอาชีพตัวเอง และอาชีพนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ครีมเป็นที่รู้จักกว้างขวางจนช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นและตั้งตัวได้
ที่น่าดีใจมากกว่านั้นคือ แม้จะเปลี่ยนชื่อแบรนด์ แต่ทั้งลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายของเรายังให้ความเชื่อมั่นติดตามมาด้วยกันตลอด อยู่กันมาตั้งแต่แบรนด์เดิมจนมาถึงแบรนด์ใหม่ พวกเขาไม่ทิ้งเราไปไหนเลย
ผมต้องย้ำจุดยืนของแบรนด์พริตตี้อีฟส์อีกครั้งว่า ‘เราตั้งใจขายของดี’ ตั้งใจจะอยู่ในสายอาชีพนี้ไปตลอด ดังนั้นมุมคิดของผมคือเราจะทำสินค้าให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อลูกค้าในภายหลัง
นั่นเพราะเรารักลูกค้าซึ่งเป็นผู้มีพระคุณ และเราก็ใช้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองกันทั้งครอบครัวด้วย ดังนั้นการปล่อยปละให้สินค้าไม่มีคุณภาพหรือไม่ได้มาตรฐานเราจะไม่มีวันทำเด็ดขาด และย้ำเรื่องนี้กับโรงงานผลิตอยู่เสมอ
ในระหว่างการเติบโตของเราที่ฐานลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายเริ่มขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ นั้น ทุกอย่างดูเหมือนจะดี แต่แล้วก็ต้องพบกับจุดพลิกผันในชีวิตอีกครั้งจนได้ เพราะลืมไปว่าในการเติบโตของธุรกิจย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอ
และก็ถึงเวลาที่วิกฤติครั้งใหญ่มาเยือนธุรกิจของเราครับ
สิ่งที่เกิดขึ้นจากตัวเรา แน่นอนว่าเราควบคุมได้ หากเราเชื่อมั่นในเจตนาของตัวเองว่าจะทำสิ่งที่ดี ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากเราย่อมต้องดีตามนั้น และเราควบคุมได้ว่าเราจะทำสิ่งที่ดี หรือเลือกจะทำสิ่งที่เลวร้าย
แต่ในทางกลับกัน หากเป็นสิ่งที่คนอื่นคิดจะทำ และหากสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดี เราคงควบคุมไม่ได้ ผมไม่ทันคิดว่า ในช่วงที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี วิกฤติอาจมาเยือนได้ทุกเมื่อ
จนมาได้บทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตก็ในวันหนึ่งที่เกิดเรื่องขึ้น หลังจากที่เราได้รับแจ้งว่า ครีมของเราเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน
และจำเป็นที่ผมต้องเร่งแก้ไขสถานการณ์นี้โดยด่วน
“ในเส้นทางธุรกิจ เราอาจเชื่อใจใครไม่ได้เลย”
สิ่งแรกที่ผมทำเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือ ต้องรีบสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย พร้อมทั้งรีบจัดการกับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานนั้นทันที
ผมเชื่อมั่นว่าสินค้าที่ขายเกิดขึ้นจากเจตนาที่ดี ความตั้งใจ จริงใจและซื่อสัตย์กับลูกค้า เราเลือกจะขายสิ่งที่ดีและปลอดภัย ทุกอย่างมาจากความบริสุทธิ์ใจเพราะเราเองก็ใช้ แต่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้วคนที่ต้องแก้ไขปัญหาก็ต้องเป็นเรา
นี่เป็นวิกฤติใหญ่ที่ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากใคร ไม่ว่าใครจะปัดความรับผิดชอบ แต่ในฐานะเจ้าของแบรนด์เราปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ไม่ได้ และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อประคับประคองธุรกิจให้ฟื้นกลับมาให้ได้
แต่ก็ได้บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้ว่า ในเส้นทางธุรกิจ เราอาจพลาดและบาดเจ็บได้เพราะ ‘ความไม่รู้’
ผมและคุณอีฟไม่มีความรู้เรื่องครีมในระดับที่ลงลึกไปถึงขั้นตอนการผสมสารต่าง ๆ การจ้างผลิตสินค้าของเราเป็นเพียงแค่แจ้งกับโรงงานเท่านั้นว่าต้องการให้สินค้ามีคุณสมบัติอย่างไร
‘ความไม่รู้’ จึงทำให้เราไม่รู้อยู่ดีว่าสินค้าที่ผลิตและบรรจุเสร็จเรียบร้อยออกมาจากโรงงานนั้นมีคุณภาพได้มาตรฐานมากน้อยแค่ไหน เราไม่รู้เพราะไม่ได้ผลิตเอง และไม่สามารถเข้าไปสังเกตการณ์ในระหว่างการผลิตได้อยู่แล้ว
เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีความรู้ หนทางแก้ไขคือเราก็ต้องทำให้ตัวเองมีความรู้ครับ เราต้องกำจัดจุดอ่อนทิ้งไปให้ได้ ผมไม่รอช้า ตัดสินใจทันทีที่จะส่งคุณอีฟไปเข้าคอร์สเรียนกรรมวิธีการผลิตเครื่องสำอางที่ถูกต้องและพร้อมใช้งานได้จริง
เรียนเพื่อให้รู้ลึก รู้จริง เรียนเพื่อจะกลับมาดูแลสินค้าภายใต้แบรนด์ของเราให้มีคุณภาพและได้มาตรฐานที่สุด
เมื่อถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ผมได้เห็นคุณค่าของความซื่อสัตย์และความเชื่อใจ ซึ่งแม้เราจะร้องขอสิ่งนี้จากใครไม่ได้ แต่สิ่งนี้ที่มาจากใจของเรานี่แหละจะทำให้ลูกค้าจำนวนมากยังคงเชื่อมั่นในความเป็นเราไม่เปลี่ยนแปลง
ผมจึงใช้ความเชื่อมั่นจากลูกค้าเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองมุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจนี้ต่อไป เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นแม้ไม่ได้เกิดจากการกระทำของเรา แต่เราก็ต้องแก้ไขให้ทุกอย่างขับเคลื่อนต่อไปได้
จะเรียกว่าฝ่าวิกฤติครั้งใหญ่มาได้ด้วย ‘ความจริงใจ’ และ ‘เจตนาที่ดี’ ก็คงไม่ผิดนักครับ
“ธุรกิจที่ขาดความเชื่อมั่นจากลูกค้า ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็เอาไม่อยู่”
ขณะที่คุณอีฟเข้าคอร์สเรียนผลิตเครื่องสำอางเพื่อให้รู้ถึงขั้นตอนการผลิตอย่างถูกต้อง ได้มาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้ใช้ ตัวผมที่อยู่หน้างานก็ยังคงประคับประคองให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไป เน้นที่การดูแลและสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
เพราะธุรกิจที่ขาดความเชื่อมั่นจากลูกค้า ต่อให้มีเงินมากแค่ไหนก็เอาไม่อยู่ครับ
พริตตี้อีฟส์กระท่อนกระแท่นกันมาพักใหญ่ในที่สุดก็ผ่านวิกฤติมาได้ พอดีกับที่คุณอีฟเรียนจบคอร์สก็กลับมาด้วยความพร้อมที่จะผลิตครีมตัวแรกของตัวเอง ครั้งนี้เรารู้แล้วว่าครีมถูกสร้างขึ้นอย่างไร ผสมสารอะไร และใช้แล้วให้ผลอย่างไร
ช่วงนั้นแม้จะเปลี่ยนแหล่งผลิตแล้ว แต่ยอมรับว่าความเชื่อใจไม่มีเหลืออยู่เลย เราเชื่อใจใครไม่ได้อีกต่อไป ผมเคยมองโลกสวย คิดว่าหากเราตั้งใจทำสิ่งดี ๆ คนอื่นก็คงจะดีกับเรา แต่ก็ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่าผมคิดผิด
เพราะในโลกแห่งธุรกิจมีเรื่องของการชิงไหวชิงพริบกันอยู่ตลอดเวลา
การกลับมาของคุณอีฟไม่ต่างอะไรกับการกลับมาสร้างพลัง สร้างแรงบันดาลใจให้ผมต้องการผลิตครีมของตัวเองทันที เพราะตอนนี้เรามีความรู้แล้ว เราสามารถสร้างสิ่งที่เป็นของเราในรูปแบบที่เรารู้จริงได้แล้ว
ช่วงที่ไปเรียน ในจำนวนนักเรียน 10 คน คุณอีฟเป็นคนที่ได้รับคำชมจากอาจารย์ว่าปั่นครีมออกมาได้ดีที่สุด ผมไม่รอช้าครับ หยิบครีมตัวนี้ซึ่งเป็น ‘ครีมตบสิว’ มาลองใช้พร้อม ๆ กับที่ลงทุนซื้อเครื่องปั่นครีมเป็นของตัวเองด้วยเงินทุนก้อนสุดท้าย
ถือเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่ล่าสุดในแบรนด์ใหม่เช่นกัน
และนั่นคือการเกิดขึ้นของ ‘EVE’S’ ครับ
ช่วงประมาณปี 2557-2558 เราเปลี่ยนแบรนด์เป็น ‘EVE’S’ ภายใต้การประกอบร่างใหม่ และไม่นานสินค้าในแบรนด์เก่าก็ค่อย ๆ หมดไป คงไว้แต่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของ EVE’S อย่างแท้จริงนับแต่นั้นเป็นต้นมา
EVE’S เกิดขึ้นในช่วงที่เรามีความรู้ ครีมบางตัวเราผลิตเอง และบางตัวอาจยังต้องจ้างโรงงาน แต่รูปแบบการสั่งผลิตเปลี่ยนไปแล้ว เพราะครั้งนี้เราเข้าถึงโรงงาน ไม่ใช่แค่โทรศัพท์ไปสั่งว่า “ขอขาว ใส ห้ามใส่สาร” เหมือนอย่างที่เคยทำมา
เพราะอย่างที่บอกครับ เราเชื่อใจใครไม่ได้อีกแล้ว
เราเริ่มรู้จักต่อรอง รู้จักที่จะพูดถึงสารแต่ละชนิดที่จะนำมาเป็นส่วนผสม รู้ว่าควรจะใช้สารตัวนี้มากน้อยเท่าไร เราเปลี่ยนรูปแบบการพูดคุยจากเด็กที่ไม่รู้อะไรเลยมาเป็นการทำธุรกิจของคนที่มีความรู้ และใครจะมาหลอกเราไม่ได้
รวมถึงบทสนทนาของเราก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อไปในฐานะของคนที่มีความรู้การสั่งผลิตครีมตัวหนึ่งเราจะบอกเลยว่าต้องการใช้ส่วนผสมแต่ละชนิดเท่าไร ต้องการเพิ่มหรือลดสารตัวใดบ้าง
และเมื่อบทสนทนาเป็นแบบนี้โรงงานก็จะเข้าใจได้เองว่าคนจ้างผลิตมีความรู้ แน่นอนว่าเขาจะทำงานยากขึ้นเพราะรูปแบบการทำธุรกิจของเราเข้มข้นขึ้นนั่นเอง
เหตุผลที่เรายังต้องจ้างโรงงานอื่นผลิตบางส่วน เพราะสินค้าของเราขายดีมากจนเครื่องปั่นที่สั่งซื้อมาใช้ไม่สามารถผลิตได้ทันกับยอดขาย กระแสการขายออนไลน์ยุคนั้นมาแรงมาก และจำนวนตัวแทนจำหน่ายของเราก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งต้องขอบคุณในความเชื่อมั่นที่มีให้กันมาตลอดทั้งจากลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย ผมเชื่อว่าการที่ EVE’S ยังคงอยู่มาได้แม้จะเจอวิกฤติก็เพราะความมีสัจจะของเราที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่สนับสนุนและร่วมธุรกิจด้วยกันทุกคน
ที่สำคัญที่สุด ในจุดเริ่มต้นก่อนมาถึงวันนี้ของ EVE’S ผมต้องขอขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ของคุณอีฟ ‘ป๊า’ และ ‘แม่พร’ ที่ถือเป็นผู้ร่วมบุกเบิก EVE’S จนทำให้เราเติบโตอย่างมั่นคงถึงวันนี้
การจะรักษาธุรกิจไว้ได้นาน ๆ ผมเชื่อเสมอว่าต้องยึดถือความจริงใจ สัจจะและความซื่อสัตย์เป็นหลัก ต้องซื่อสัตย์ทั้งกับตัวเอง ตัวแทนจำหน่ายและลูกค้า ที่เหลือหลังจากนั้นคือต้องพยายามมีสติเพื่อนำพาตัวเองให้รอดพ้นจากวิกฤติให้ได้
มีความรู้ จริงใจ มีสัจจะ ซื่อสัตย์ และมีสติ ผมเชื่อว่าจะทำให้เรารอดทุกสถานการณ์ครับ
“พันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันหาไม่ได้ง่าย ๆ แต่วันหนึ่งแรงดึงดูดบางอย่างจะพาคน ๆ นี้มาให้เราได้เจอ”
แม้คุณอีฟจะมีบทบาททำให้ครีมของเรานับตั้งแต่แบรนด์แรกจนมาถึง EVE’S เป็นที่รู้จัก แต่คนที่เข้ามาสร้างยอดขายได้มากมายต่อเนื่องถึงขั้นกระหน่ำซ้ำยอดขายให้เพิ่มขึ้นแบบถล่มทลายก็คงต้องเป็น ‘คุณจ๋า’ ครับ
ผมได้รู้จักคุณจ๋าจากการเป็นเพื่อนคุณอีฟ เขาสองคนรู้จักกันตั้งแต่ยังทำงานเป็นพริตตี้ ด้วยความที่คุยเก่ง มีสไตล์ในการนำเสนอสินค้าที่น่าสนใจ วันหนึ่งคุณอีฟจึงติดต่อให้คุณจ๋ารีวิวครีมให้กับเราผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว
คนเราย่อมมีความสามารถแตกต่างกัน ผมอาจเหมาะที่จะเป็นคนคิดแผนงานและบริหารให้ลูกทีมเดินไปตามแผนนั้น ส่วนคุณอีฟก็ประจำอยู่ในห้องแล็บเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ ๆ ออกมาตอบโจทย์ลูกค้า
แต่สำหรับคุณจ๋า คนนี้เหมือนเกิดมาเพื่อขายครับ เมื่อขอทดลองใช้ครีมด้วยตัวเองและเห็นผลดีก็พร้อมรีวิวขายทันทีด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ หลังจากนั้นผลตอบรับดีมาก สินค้าขายดีจนแทบผลิตไม่ทัน
และต่อมาคุณจ๋าก็ก้าวสู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายเหมือนคนอื่น ๆ
แต่ที่จะต่างไปจากคนอื่นอยู่บ้างก็ตรงที่วันหนึ่งคุณจ๋าได้กลายมาเป็นหุ้นส่วนร่วมกับผมและคุณอีฟ
พันธมิตรทางธุรกิจที่มีวิสัยทัศน์เดียวกันหาไม่ได้ง่าย ๆ นะครับ และถึงแม้เราจะไม่ได้มุ่งมั่นตามหาคนแบบที่ว่านี้อยู่ตลอดเวลา แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่งแรงดึงดูดบางอย่างจะพาคน ๆ นี้มาให้เราได้เจอ
การเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนของคุณจ๋าผมไม่ได้มองแค่ว่าเขาทำยอดขายได้ดีแล้วรีบรับเข้ามา ไม่ใช่เลยครับ แต่สิ่งที่คุณจ๋ามีคือความเข้าใจในความเป็น EVE’S มีแนวความคิดเป็นไปในทางเดียวกัน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณจ๋าถูกเลือก
คุณจ๋าเริ่มต้นจากการเป็น ‘ผู้ใช้’ ที่เห็นผลจริง ชื่นชอบในตัวสินค้าจริง ๆ จึงกล้ารีวิว ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น ‘ตัวแทนจำหน่าย’ และปัจจุบันแม้จะมีสถานะเป็น ‘หุ้นส่วน’ ด้วยก็ตาม
แต่ในมุมมองของคนจำนวนมาก คุณจ๋ายังเป็นต้นแบบของสุดยอดตัวแทนจำหน่ายครับ
ถ้าคุณอีฟคือจุดเริ่มต้นของการทำครีมในมิติใหม่จากพื้นฐานของการ ‘รู้ลึก’ ‘รู้จริง’ คุณจ๋าก็คือคนที่ทำให้ EVE’S เติบโตในตลาดออนไลน์จนเป็นที่รู้จักและสามารถขยายฐานตัวแทนจำหน่ายไปทั่วประเทศ
และอีกหนึ่งคนสำคัญของ EVE’S…‘พี่เอนก’ ครับ
ช่วงที่เรายังไม่มีโรงงานเป็นของตัวเอง และยังใช้วิธีจ้างโรงงานอื่นผลิตครีม นั่นทำให้ผมได้รู้จักพี่เอนกซึ่งเป็นหนึ่งในซัพพลายเออร์ของเราที่คอยช่วยดูแลการผลิตครีมของเรามาโดยตลอด
จนวันหนึ่งเมื่อความคิดเห็นตรงกัน มีมุมมองเดียวกัน และมีทัศนคติในการทำธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งผมและพี่เอนกเลยตกลงใจมาร่วมกันเสริมความแข็งแกร่งให้ EVE’S และนับจากนั้นก็เข้ามาเป็นทุกอย่างให้ EVE’S ครับ
ในขณะที่คุณอีฟส์เป็นคนคิดค้นนวัตกรรมใหม่ พี่เอนกคือผู้จัดการโรงงานที่ช่วยทำให้โรงงานของเราสมบูรณ์แบบขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งช่วยดูแลโครงสร้างโรงงาน การออกแบบห้องทำงานและห้องแล็บที่ถูกต้องและเหมาะสม
ผมจึงถือว่าพี่เอนกเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญที่ทำให้อีฟส์มีวันนี้
หลักการบริหารของ EVE’S คือ ‘ซื่อสัตย์’ ‘จริงใจ’ และ ‘ตรงไปตรงมา’ คุณอีฟอยู่หลังบ้าน พี่เอนกดูแลฐานโรงงาน คุณจ๋าอยู่หน้าบ้าน และผมจะคอยหนุนอยู่ทุกส่วนเพื่อชี้จุดต่าง ๆ ทั้งที่ดีอยู่แล้วหรือบกพร่องให้แต่ละคนเข้าไปช่วยกันแก้ไข
ฐานรากของบ้านหลังนี้แข็งแรงมากครับ
EVE’S ในวันนี้จึงมีความพร้อมรอบด้าน และเราประสานการทำงานกันอย่างลงตัวที่สุด
“ต้องผ่อนแรงระหว่างทางบ้าง เพื่อไม่ให้ล้าเร็วเพราะวิ่งไวเกินไป”
อีกเป้าหมายหนึ่งของการส่งคุณอีฟไปเรียนผลิตเครื่องสำอาง นอกจากการเติมความรู้ให้ตัวเองแล้ว ช่วงนั้นผมยังวางแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจในคุณภาพของสินค้าได้มากขึ้น
หลังจากมีคุณจ๋าเข้ามาเป็นหุ้นส่วน ไม่เกิน 2 ปีโรงงานที่ผมคิดไว้ก็เกิดขึ้นที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งต้องขอบคุณ ‘คุณเก๋’ และ ‘อาจารย์เล็ก’ อย่างมากที่มีส่วนช่วยเหลือในเรื่องนี้จนเรามีแหล่งผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง
แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังต้องจ้างโรงงานอื่นผลิตควบคู่กันไปด้วยอยู่ดี เพราะปัญหาเดิมของเราคือความต้องการสินค้ายังสูงกว่ากำลังการผลิตของเรา
การพุ่งสู่เป้าหมายและการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างรวดเร็วของ EVE’S แม้จะสร้างความสำเร็จให้กับเราอย่างมากมาย แต่เชื่อไหมว่าวันหนึ่งผมเกิดหมดไฟในการทำงานขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ฟังดูไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางความรุ่งเรืองของแบรนด์ การมีโรงงานเป็นของตัวเอง และยอดขายที่มีมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีจะทำให้หมดไฟไปได้ ทั้งที่ผมควรจะยิ่งไต่ระดับขึ้นสู่ความสำเร็จที่ยิ่งกว่า
อาจเป็นเพราะก่อนนั้นผมต้องวิ่งเร็วมาตลอดเพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง และทุกโอกาสก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนต้องรีบตามให้ทันทั้งที่ผมเองยังรักอิสระ และยังอยากสนุกกับการได้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ในชีวิต
ช่วงนั้นผมจึงใช้เวลาไปกับการเที่ยวเพื่อค้นหาความเป็นตัวเอง พยายามค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบด้วยการไปลองทำนั่นทำนี่หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้ได้รู้ว่าอะไรใช่สำหรับเรา และหนึ่งในนั้นคือหมกมุ่นอยู่กับการ ‘เล่นหุ้น’ นานพอสมควร
สุดท้ายหุ้นก็นำพาวิกฤติมาให้ชีวิตอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเรามีความรู้ไม่พอ จึงเสียเงินกับหุ้นไปไม่น้อย การใช้เวลาอยู่กับการเที่ยวและเล่นหุ้นมากเกินไป ทำให้ผมเบื่อที่จะทำงานและหมดไฟที่จะไปต่อในธุรกิจครีม
การหมดไฟของผมถือเป็นวิกฤติที่สุดของธุรกิจแล้วครับ และก็เป็นวิกฤติที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากใครหรือปัจจัยภายนอกอะไรเลย แต่เกิดขึ้นจากตัวผมคนเดียว
และแล้วก็นัดประชุมกันระหว่างหุ้นส่วนทั้งสาม คุณอีฟและคุณจ๋าเป็น 2 คนแรกที่รู้เรื่องการหมดไฟของผม ผมเรียกประชุมเพราะคิดว่าต้องมีการวางเป้าหมายใหม่ และผมอาจไม่ไปต่อ
ทั้งสองอึ้งไปเหมือนกันกับสถานการณ์ทางความรู้สึกของผม คนรอบข้างสับสนไปหมดกับสิ่งนี้ ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร มันเหนื่อยและเบื่อไปหมดจากหลายปัญหารอบด้าน
ประกอบกับช่วงนั้นหลังจากที่คุณจ๋าก้าวเข้ามาเป็นหุ้นส่วนแล้ว ก็เริ่มมีเสียงสะท้อนจากตัวแทนจำหน่ายคนอื่น ๆ ว่า ทำไมคุณจ๋าที่มีสถานะเป็นหุ้นส่วนจึงยังขายปลีกอยู่ในเฟซบุ๊กตัวเอง
เรื่องนี้ผมต้องอธิบายว่า คุณจ๋าเริ่มต้นจากการตัวแทนจำหน่าย และทำยอดขายได้สูงมากจนผมและคุณอีฟรู้สึกว่าไม่ต้องการเอาเปรียบในส่วนของกำไร จึงให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในหุ้นส่วน แต่ตอนนั้นเป็นหุ้นส่วนแค่ 15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ในสัดส่วนนี้คุณจ๋าจึงมีหน้าที่ประชาสัมพันธ์สินค้าและสามารถรับสินค้าจากบริษัทไปขายปลีกเองได้ด้วย ซึ่งผมไม่ถือว่าผิดกติกา เพราะช่วงนั้นเรายังให้ความสำคัญกับตัวสินค้าและการขายปลีก
แต่เมื่อเกิดเป็นข้อครหาขึ้นผมก็จำเป็นต้องแก้ปัญหาทั้งที่ตอนนั้นรู้ดีว่าตัวเองหมดไฟแล้ว แต่ต้องหยุดความรู้สึกนี้เพื่อพยายามเรียกสติตัวเองกลับมาสนใจธุรกิจของตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิมเพื่อแก้ปัญหาทุกอย่างให้ได้
ครั้งนั้นผมได้รู้ว่า ในบางเวลาเราต้องผ่อนแรงระหว่างทางบ้าง เพื่อไม่ให้ล้าเร็วเพราะวิ่งไวเกินไป จนพาให้หมดไฟไปเสียดื้อ ๆ
และนับจากนั้นผมคิดว่าถึงเวลาที่ต้องนำตัวเองกลับเข้าสู่เส้นทางบริหารอีกครั้ง
“ผมชัดเจนในวันนั้นทันทีว่าสิ่งที่มีอยู่ในตัวผมคือ DNA EVE’S”
ผมแก้ไขปัญหาในกรณีของคุณจ๋าด้วยการให้หยุดขายปลีกทันที ทั้งที่ตอนนั้นคุณจ๋าขายและสร้างรายได้ให้ตัวเองเป็นจำนวนมหาศาล
จากนั้นผมนำสินค้ากลับเข้าสู่ระบบเพื่อให้ไปอยู่ในส่วนกลาง และเพื่อพร้อมจะกระจายเป็นของตัวแทนจำหน่ายทุกคน ซึ่งคุณจ๋าก็ยินยอมและเสียสละในเรื่องนี้
ผมปรับแผนการบริหารใหม่ทั้งหมด ดึงคุณจ๋าเข้ามาเป็นหุ้นส่วนแบบเต็มตัว เราทำระบบทีมกันใหม่ หันมาปรับระบบตัวแทนจำหน่ายให้ดีขึ้นกว่าเดิม
หลังจากนี้เราจะโฟกัสตัวแทนจำหน่ายให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ต่อมาผมมีแถลงการณ์ไปถึงตัวแทนจำหน่ายทุกคนเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน หลักใหญ่ใจความของแถลงการณ์ฉบับนี้คือ การผลักดันให้ตัวแทนจำหน่ายเติบโตเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้หัวข้อ
‘สินค้าคุณภาพสู่การสร้างชีวิตที่ดีขึ้น’
ผมเริ่มทดสอบระบบแผนงานใหม่ในช่วงปลายปี 2560 หวังจะดูแลตัวแทนจำหน่ายด้วยระบบใหม่นี้ ต้องยอมรับตามตรงว่าก่อนหน้านั้นผมคงดูแลตัวแทนจำหน่ายไม่ดีพอ ซึ่งถือเป็นการบริหารที่ผิดพลาดของผมเอง
ที่ผ่านมาผมยึดลูกค้าเป็นหลัก คิดเพียงแต่จะหาสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าเพื่อให้เขาใช้แล้วส่งผลดีที่สุดกับสุขภาพผิว จึงมุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้าในสัดส่วนที่มากกว่า
และผมเองก็ไม่ทันคิดว่า ตัวแทนจำหน่ายของ EVE’S จะค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้นจากเดิมเยอะมาก
ทั้งที่เราโฟกัสลูกค้ามาตลอด แต่ตัวแทนจำหน่ายยังอยู่กับเรา ไม่เคยทิ้งเราแม้ในบางช่วงที่ยอดขายไม่ดี ตัวแทนจำหน่ายหลายคนอยู่กับเรามาตั้งแต่วันที่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
หลังการวางระบบใหม่ผมจึงตั้งใจเชิญตัวแทนจำหน่ายระดับ VIP ซึ่งตอนนั้นมีอยู่ 18 คนเข้ามาพบปะกินข้าวกันสักมื้อ เพราะตลอดเวลาที่ทำธุรกิจร่วมกันมาหลายปีพวกเรายังไม่เคยได้เจอกันเลย
ตัวแทนจำหน่ายที่มาตามคำเชิญในวันนั้นเดินทางมาจากทั่วประเทศ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี อุบลราชธานี ฯลฯ ทั้งมากินข้าวกัน มาประชุมทำความรู้จักกันให้มากขึ้น
และเหตุการณ์ในวันนั้นเองที่เติมไฟเติมพลังชีวิตให้ผมอีกครั้งหนึ่ง
การพูดคุยกันของพวกเราเริ่มต้นที่คุณจ๋า ได้ฟังความรู้สึกจากคุณจ๋าซึ่งเน้นมาที่การขอบคุณผมและคุณอีฟ ขอบคุณที่ทำให้มีบ้าน มีชีวิตใหม่ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีจนสามารถดูแลคนในครอบครัวให้มีความสุขได้
ผมพูดคุยและทำความรู้จักกับตัวแทนจำหน่ายทุกคน และเพิ่งได้รู้ว่าตัวแทนจำหน่ายหลายคนยึดธุรกิจนี้เป็นอาชีพหลัก และอีกหลายคนไม่ทำอาชีพอื่นเลยนอกจากขายสินค้าของ EVE’S อย่างเดียว
ทุกคนนั่งล้อมเป็นวงใหญ่แล้วต่างก็มองมาที่ผมเป็นจุดเดียว
วันนั้นผมได้เห็นสีหน้าแววตาของตัวแทนจำหน่ายทุกคนที่บ่งบอกได้ถึงความรู้สึกดี ๆ ในหัวใจของพวกเขา แววตานั้นแฝงไปด้วยความรักและความหวังที่พร้อมจะฝากชีวิตไว้กับ EVE’S และยกให้ผมเป็น ‘บอส’ ของพวกเขาทุกคน
อาจจะขัดเขินอยู่บ้างกับตำแหน่ง ‘บอส’ แต่ก็รู้สึกตื้นตันใจที่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของทุกคนในวันนั้น จนแอบมีคำถามเกิดขึ้นในใจตัวเองว่า
“แล้วกูจะหมดไฟไปเพื่ออะไรวะ”
ผมต้องขอบคุณตัวแทนจำหน่ายด้วยซ้ำที่จับมือกันแน่นเสมอมา ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นสำหรับผมมันประเมินค่าไม่ได้เลย ความเอื้อเฟื้อของพวกเขาที่ส่งมาถึงผมเป็นแรงบันดาลใจให้ความคิดบางอย่างของผมเปลี่ยนไป
และผมชัดเจนในวันนั้นทันทีว่า สิ่งที่มีอยู่ในตัวผมคือ DNA EVE’S
และพวกเขาทุกคนก็มี DNA EVE’S เช่นกันครับ
พวกเราคือกลุ่มคนที่มี DNA เดียวกัน มีทัศนคติไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ต้องการจะขายสินค้าเพื่อความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว แต่พวกเราชาว EVE’S รู้จักการแบ่งปัน รู้จักช่วยเหลือคนอื่น จริงใจและตรงไปตรงมาเหมือนกันทุกคน
เท่านั้นแหละครับ พลังชีวิตทั้งหมดกลับคืนมาทันที ผมได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดเปลี่ยนชีวิตใครอีกหลายคน โดยที่ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้มาก่อน ความรู้สึกต่าง ๆ จึงทำให้ผมพร้อมที่จะกลับมาลุยธุรกิจตัวนี้อีกครั้งแบบเกินร้อย
ขอบคุณทุกท่านจริง ๆ ครับ
“การควบคุมการผลิตได้ทั้งหมด คือหนทางเดียวที่จะทำให้เราเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าได้ดีที่สุด”
หลังการเติมไฟเติมพลังชีวิตกันแล้ว EVE’S กลับเข้าสู่เกมครับ เราจะไปต่อและจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ผมหันมาคิดสารพัดวิธีการเพื่อเตรียมกระตุ้นยอดขาย ในขณะเดียวกันก็มุ่งให้ความสำคัญกับตัวแทนจำหน่ายอย่างจริงจัง
เพราะถึงเวลาที่เราต้องทรานส์ฟอร์มองค์กรแล้วครับ
และการปรับระบบใหม่ครั้งนั้นก็ทำให้ EVE’S สามารถสร้างรายได้และเติบโตมากขึ้นเป็น 2 เท่า
ทุกอย่างตอนนี้ดูดีหมดครับ แต่ก็เกิดปัญหาเดิมขึ้นอีกจากการที่โรงงานนครปฐมยังผลิตสินค้าไม่ทันกับความต้องการของลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย
ปี 2561 ผมตั้งธงไว้เลยว่าจะต้องสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม เพื่อรองรับปริมาณการผลิตให้เพียงพอ ทดแทนโรงงานเดิมที่ดูจะเล็กเกินไปแล้วสำหรับการเติบโตของ EVE’S
และทันทีที่คิด การก่อสร้างก็เริ่มต้นและแล้วเสร็จพร้อมผลิตในปีเดียวกัน
โรงงานแห่งใหม่ของเราคือ ‘NEJ Science’
ส่วนหนึ่งที่อยากมีโรงงานใหญ่ขึ้นก็เพื่อรองรับการผลิตไว้ทั้งหมดโดยไม่ต้องแบ่งไปผลิตที่โรงงานอื่น เพราะแม้เราจะมีความรู้ไปต่อรองราคาและปริมาณสารตัวสำคัญที่ใช้ผลิตเครื่องสำอางกับผู้ผลิตอื่นได้ก็จริงอยู่
แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะเติมสารแต่ละชนิดตามปริมาณที่เราต้องการจริงหรือไม่ หรือหากเขาจงใจลดปริมาณสารเพื่อลดต้นทุนเราก็ไม่รู้อยู่ดี และมากกว่านั้นหากสินค้าที่ผลิตออกมาไม่ได้มาตรฐานย่อมส่งผลต่อคุณภาพสินค้าของเรา
การมีโรงงานของตัวเองแบบครบวงจรจะทำให้เราเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าได้ดีที่สุด พูดง่าย ๆ คือ การควบคุมการผลิตได้ทั้งหมดคือหนทางเดียวที่จะทำให้เราเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าได้ดีที่สุดครับ
เพราะผมรู้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวไหนต้องใส่สารชนิดไหน ปริมาณเท่าใด หากผมไม่ซื่อสัตย์ในปริมาณสารเหล่านี้หรือตั้งใจโกงลูกค้าทีมงานฝ่ายผลิตจะต้องรู้ และผมก็จะขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของพวกเขาทันที แล้วผมจะทำไปเพื่ออะไร
นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจว่าไม่มีใครเหมือน EVE’S แน่นอนก็คือ โดยปกติแล้วโรงงานผลิตทั่วไปมักไม่อนุญาตให้ลูกค้าเข้าชมขั้นตอนการผลิต และส่วนใหญ่ปิดกั้นพื้นที่ผลิตให้กลายเป็นเขตต้องห้ามสำหรับลูกค้า
แต่สำหรับ EVE’S ผมไม่คิดอย่างนั้น ลูกค้าควรมีโอกาสได้เห็นขั้นตอนการผลิตสินค้าของเขา ผมชัดเจนในเรื่องนี้ นี่คือนโยบายที่แม้จะไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ผมจะทำ
ที่ NEJ Science ทั้งลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายจะได้เห็นที่มาของสินค้าที่ตัวเองใช้ตั้งแต่เริ่มต้นผลิตจนออกสู่ตลาด เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในคุณภาพของผลิตภัณฑ์จาก EVE’S ทุกชิ้น
EVE’S จึงเป็นเครื่องสำอางแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในตลาดออนไลน์ที่มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง
รวมทั้งยังเป็นโรงงานเปิดแห่งเดียวในปัจจุบันอีกด้วย
อีกนโยบายสำคัญของ EVE’S คือ เราจะไม่ผลิตครีมออกมามากจนค้างสต็อกอยู่นานเกิน 3 เดือน เพื่อรักษาคุณภาพให้เป็นครีมที่ยังสดและคงคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมสำหรับการดูแลผิว แม้อายุของครีมโดยปกติจะนานถึง 2 ปีก็ตาม
จึงมั่นใจได้ว่าทั้งตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าจะได้รับสินค้าที่สดและใหม่จาก EVE’S เสมอ
ดังนั้นผมจึงต้องย้ำกับตัวแทนจำหน่ายว่า ควรสั่งสินค้าในจำนวนที่มั่นใจว่าจะขายหมด ผมไม่สนับสนุนให้ตุนสินค้าเป็นจำนวนมาก เพื่อไม่ให้สินค้าถูกกักอยู่นานกว่าจะถึงมือลูกค้า
นี่คือหลักในการรักษาคุณภาพสินค้าของ EVE’S ครีมทุกตัวของเราจึงเหมือนเพิ่งออกจากเตา และที่ผ่านมาตัวแทนจำหน่ายจะยึดหลักการนี้เช่นเดียวกันทั้งหมด ทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าใหม่อยู่เสมอ
นอกจากนี้ผมยังไม่เคยเปิดจองสินค้าเพื่อขอเก็บเงินมัดจำก่อนด้วย เพราะจะมีประโยชน์อะไรหากผมได้เงินแต่ต้องทำให้ตัวแทนจำหน่ายเดือดร้อน ลักษณะนี้ผมไม่ต้องการ
การวางระบบแบบนี้ผมยังเผื่อถึงในอนาคตด้วยหากเกิดวิกฤติใดขึ้น เงินในกระเป๋าของตัวแทนจำหน่ายจะยังเหลือให้เขาใช้ดูแลชีวิตตัวเองได้ ไม่จมอยู่กับสินค้าในสต็อกตัวเอง ผมวางระบบโดยคิดเผื่อตัวแทนจำหน่ายทุกคนไว้แล้ว
EVE’S มีโรงงานเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นเรายืดหยุ่นได้ทุกอย่าง
ส่วนเรื่องการขาย EVE’S ไม่จำกัดขอบเขตการขายของตัวแทนจำหน่าย จะเปิดอิสระไม่ว่าจะขายออนไลน์หรือออฟไลน์ และเราก็ไม่มีนโยบายขายปลีกแข่งกันเอง หากมีลูกค้าติดต่อเข้ามาที่บริษัทเราจะส่งต่อไปยังตัวแทนจำหน่ายทันที
เรายึดถือความซื่อสัตย์ในการทำธุรกิจครับ
เพียงแต่ขออย่างเดียวว่า ตัวแทนจำหน่ายอย่าขายสินค้าตัดราคากันเองก็พอ อย่าแข่งกันที่การตัดราคา ขอให้แข่งกันที่การดูแลและบริการลูกค้าหลังการขายจะดีกว่า ทำธุรกิจโดยไม่ทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพผมว่าจะยั่งยืนกว่า
และยังเป็นช่องทางสร้างอาชีพให้ทุกคนได้ทำธุรกิจร่วมกันในระยะยาวอีกด้วย
“เปลี่ยนตัวเองจากการเป็นผู้รับมาเป็นผู้ให้เพื่อตอบแทน”
ที่ผ่านมาทุกนโยบายของ EVE’S มีขึ้นเพื่อเน้นให้เกิดประโยชน์กับลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายมากที่สุด ทุกคนมีส่วนร่วมในการเติบโตของ EVE’S และที่ผ่านมา EVE’S ได้รับสิ่งดี ๆ ทั้งจากลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายเสมอมา
วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องตอบแทนกลับคืนแล้วครับ
จึงเป็นที่มาของ ‘นโยบาย 3 ต.’ นั่นคือ ตอบแทนลูกค้า ตอบแทนตัวแทนจำหน่าย และตอบแทนสังคม
เป้าหมายหลักของการผลิตเครื่องสำอาง EVE’S คือการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพในระดับที่ใช้แล้วเห็นผลจริง ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะสม
โดยเฉพาะเรื่องราคา EVE’S สามารถผลิตสินค้ามีคุณภาพในราคาที่คนทั่วไปซื้อใช้ได้ง่าย เพราะเรามีโรงงานขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตสินค้าได้นับแสนชิ้นต่อเดือน
ดังนั้นเมื่อผลิตเป็นจำนวนมากเราก็สามารถสั่งซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ ได้ในราคาที่ต่ำลง และเมื่อต้นทุนการผลิตไม่สูง สินค้าของเราจึงมีราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง
เครื่องสำอางเป็นสินค้าที่มีค่าการตลาดค่อนข้างสูง และเครื่องสำอางโดยทั่วไปนอกเหนือจากค่าจ้างผลิตแล้วยังมีค่าจ้างทีมวิจัย ค่าโฆษณา ค่าตัวแทนจำหน่าย ค่าพรีเซนเตอร์และค่าอื่น ๆ อีกจิปาถะ
แต่ EVE’S ไม่เหมือนใคร เพราะเรามีทุกอย่างครบวงจร เราจึงสามารถควบคุมคุณภาพและตั้งราคาขายที่เหมาะสมได้จากการที่เป็นผู้ผลิตเอง
ดังนั้นค่าการตลาดของ EVE’S จึงต่ำ แต่สินค้ามีคุณภาพสูงในราคาที่เหมาะส ม
แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอกับการที่คิดจะตอบแทนลูกค้า เพราะผมคิดว่าลูกค้าต้องได้มากกว่านั้น จึงเลือกใช้วิธีเพิ่มปริมาณของสินค้าให้มากขึ้นในราคาเท่าเดิม
แต่การเพิ่มความจุของสินค้าให้มากขึ้นย่อมส่งผลให้ระยะเวลาที่ลูกค้าจะใช้สินค้าหมดถูกยืดออกไป ซึ่งอาจกระทบต่อยอดขายของตัวแทนจำหน่าย เพราะในแต่ละเดือนลูกค้าอาจซื้อสินค้าน้อยลง
จึงเป็นโจทย์ให้เราต้องมาคิดทางออกไว้ด้วยว่า จะตอบแทนลูกค้าอย่างไรให้ตัวแทนจำหน่ายยังขายได้เหมือนเดิม ก็ได้คำตอบว่า การตอบแทนลูกค้าด้วยการเพิ่มปริมาณต้องให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย
ทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์จากทุกนโยบายของ EVE’S ครับ
ผมมีความมุ่งหวังที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับตัวแทนจำหน่ายทุกคน พยายามจัดโปรโมชั่นให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นเพื่อกระตุ้นยอดขาย EVE’S ทำธุรกิจในรูปแบบของการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันครับ
ผมตั้งใจจะทำให้ตัวแทนจำหน่ายทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากเห็นทุกคนสุขสบาย มีทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากมี และเมื่อร่วมทำงานหนักกันแล้วก็จะได้ไปเที่ยวพักผ่อนประจำปีด้วยกัน
วันนี้ EVE’S เป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกในครอบครัวกระจายอยู่ทั่วประเทศ เดิมทีเรามีความใกล้ชิดกับตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ลำดับติดกับบริษัท ส่วนลำดับห่างออกไปเราอาจยังดูแลไม่ทั่วถึง
จากการจัดทริปท่องเที่ยวด้วยกันของ EVE’S ในปีแรกมีตัวแทนจำหน่ายไปกับเราแค่ 10 คนเท่านั้น แต่หลังจากนี้ไปเราจะส่งต่อความสัมพันธ์ไปยังตัวแทนจำหน่ายรายเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไป
เพื่อให้ทุกชีวิตได้มีส่วนร่วมกับทุกกิจกรรมของ EVE’S มากขึ้น
ผมมีกิจกรรมกีฬาสีให้ทุกคนจากทั่วประเทศได้มาแบ่งทีมร่วมสนุกกัน แต่จุดมุ่งหมายที่สำคัญกว่านั้นคือ นี่เป็นช่วงเวลาที่เราทุกคนจะได้พบปะกัน ได้พูดคุยกระชับความสัมพันธ์ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนพร้อมแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กันเสมอ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพัฒนาศักยภาพของตัวเองและทีมกิจกรรมเก็บแต้มเพื่อท่องเที่ยวประจำปี โดยจะกระจายกลุ่มตัวแทนจำหน่ายให้กว้างขึ้นเพื่อทุกคนทุกระดับจะได้มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันมากกว่าเดิม
รวมถึงเรื่องโบนัสก็จะมีมอบให้ทุกคนที่สร้างผลงานได้ดีตั้งแต่ระดับบนสุดถึงล่างสุดครับ
ผมบริหารงานภายใต้เหตุผลที่ว่า ‘เราคือคนในครอบครัวเดียวกัน’ EVE’S จะดูแลตัวแทนจำหน่ายไปถึงชีวิตส่วนตัวและครอบครัวของเขา ผมต้องการสร้างเครือข่ายธุรกิจที่ดีที่สุด เพื่อดูแลกลุ่มคนที่ดีที่สุด
เพราะพวกเราคือครอบครัว พวกเรามี DNA เดียวกันครับ
แนวคิดที่ทำให้ผมต้องการตอบแทนสิ่งดี ๆ กลับคืนสังคมนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ คิดว่าเมื่อเราได้รับมามากพอแล้วเราก็ควรมอบกลับคืนไปบ้าง เปลี่ยนตัวเองจากการเป็นผู้รับมาเป็นผู้ให้เพื่อตอบแทน
จึงตั้งใจว่าใน 1 ปี EVE’S จะต้องสร้างอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ด้อยโอกาสอย่างน้อย 1 หลัง
EVE’S จะจัดกิจกรรมนี้ทุกปี อยากให้เด็ก ๆ ได้มีที่เรียน ให้พวกเขาได้รับการศึกษา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาสังคมทุกวันนี้
EVE’S จะเข้าไปเปลี่ยนอาคารเรียนที่ทรุดโทรมให้กลับมามีสภาพที่ดีขึ้นภายใต้งบประมาณขององค์กร เพื่อให้สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละปีเป็นผลงานร่วมของทุกคนใน EVE’S
ส่วนกิจกรรมช่วยเหลือคนไทยด้วยกันในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศที่ประสบปัญหาจากภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะอุทกภัยหรืออะไรก็ตาม EVE’S พร้อมเสมอกับภารกิจเพื่อสังคมเหล่านี้
ในอนาคต EVE’S จะรับกลุ่มคนที่เป็นดาวน์ซินโดรมเข้ามาร่วมเป็นทีมงานเดียวกันด้วยเหตุผลที่ว่า เราเชื่อในศักยภาพของคนกลุ่มนี้ พวกเขาทำงานได้ พวกเขาควรได้รับการยอมรับ พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้
และพวกเขาควรได้รับโอกาสในการแสดงศักยภาพที่มีออกมา
ผมต้องการให้ผู้ที่เป็นดาวน์ซินโดรมได้รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง พวกเขาจะภูมิใจที่รู้ว่าสามารถทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้ และต้องดีใจหากรู้ว่าสังคมพร้อมเปิดรับให้พวกเขาได้ใช้ความสามารถเท่าที่มีในการทำงานและเลี้ยงดูตัวเอง
นโยบาย 3 ต. ของ EVE’S จะมีขึ้นและมีอยู่เพื่อทุกคนตลอดไป
EVE’S ใช้ความจริงใจที่มีต่อทุกฝ่ายสร้างความยั่งยืนให้องค์กรมายาวนาน แต่เหนือกว่าอะไรทั้งหมด ผมเชื่อว่านอกจากปัจจัยมากมายแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากและผมคิดว่าคนที่เป็นผู้นำองค์กรควรต้องมี
นั่นคือเรื่องของสัจจะและการรักษาคำพูดครับ
การเป็นผู้นำกับการรักษาสัจวาจาควรเป็นสิ่งที่มาคู่กัน พูดอะไรไว้ รับปากอะไรไว้ต้องทำให้ได้ ผมยึดถือสิ่งนี้มาตลอด จึงคิดว่าการจะสร้างความเชื่อถือและเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นภายในใจของลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายนั้นผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
แค่รักษาคำพูดของตัวเองครับ เท่านั้นพอ หากไม่มั่นใจหรือรู้ว่าทำไม่ได้ผมจะไม่พูดออกมาเด็ดขาด
ทั้งหมดนี้หลอมรวมกันเป็นฐานที่แข็งแกร่งให้ EVE’S มาโดยตลอด พวกเรามีรูปแบบการทำงานที่ชัดเจนภายใต้อาณาจักรของกลุ่มคนที่มี DNA เดียวกัน ผูกพันกันด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจ
ที่สำคัญคือทั้งลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายดีต่อผมเหลือเกิน ไม่ต้องขอบคุณผมครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณในทุกความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อกันมา และมีค่ามากมายสำหรับผม
EVE’S อยู่ได้ด้วยความเชื่อมั่นของลูกค้า และเติบโตจากความตั้งใจจริงของตัวแทนจำหน่ายครับ
“การผลิตสินค้าที่หลากหลาย เป็นอีกแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจไปได้อีกไกล”
ผมเชื่อว่าในธุรกิจเครื่องสำอางออนไลน์ปัจจุบันจนถึงอนาคต EVE’S จะต้องก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในทุกด้าน ไม่เคยกังวลกับการที่ต้องมีคู่แข่งทั้งเก่าและใหม่ รู้สึกดีใจและชื่นชมด้วยซ้ำหากได้เห็นแบรนด์อื่นประสบความสำเร็จตามกันมา
ไม่เคยกลัวว่าจะมีแบรนด์อื่นมากินส่วนแบ่งทางการตลาด เพราะผมมุ่งมั่นอยู่กับธุรกิจของตัวเอง ผมเน้นขายความเป็น EVE’S มั่นใจในคุณภาพของสินค้าเพราะผลิตเอง จึงรู้ถึงส่วนผสมและการผลิตทุกขั้นตอน
หลังจากนี้ผมมองไปที่ยอดขายระดับพันล้านเท่านั้นครับ
เราจะคิดค้นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ออกมาเรื่อย ๆ เพียงแต่ไม่ให้ถี่เกินไปในแต่ละช่วง จะเว้นให้เกิดการจับตารอ และที่ผ่านมาทุกการเปิดตัวสินค้าใหม่ของเราดึงดูดความสนใจลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายได้มากมายเสมอ
เห็นได้จากทุกครั้งที่ EVE’S เปิดตัวสินค้าใหม่จะมียอดสั่งซื้อเข้ามาทันทีไม่ต่ำกว่า 10,000-20,000 ชิ้นโดยที่เรายังไม่ได้ทำการตลาด และบ่อยมากที่เปิดตัวไม่กี่วันแต่สินค้าขาดตลาดทันที
นั่นเป็นเพราะตัวแทนจำหน่ายของเราใช่ว่าจะขายอย่างเดียว แต่พวกเขาก็ใช้สินค้าของ EVE’S ด้วย
EVE’S มีแผนการผลิตสินค้าที่หลากหลาย เพราะผมเชื่อว่าจะเป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ธุรกิจก้าวไปได้อีกไกล ตัวแทนจำหน่ายมั่นใจได้เลยว่า EVE’S จะไม่หยุดแค่นี้ เราจะพยายามเสริมทุกเหลี่ยมมุมขององค์กรให้คมอยู่เสมอ
ผมมองเส้นทางการขับเคลื่อนธุรกิจไว้ที่ 3 ระยะ คือ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว แต่คงโฟกัสไว้ที่ระยะสั้นคือปัจจุบัน กับระยะกลางคือประมาณ 3 ปีข้างหน้าซึ่งผมคิดว่ากำลังดีและเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่สุด
ใน 3 ปีข้างหน้านี้แบรนด์ของเราจะยิ่งพัฒนาและเติบโตแบบไม่มีขีดจำกัด และจะเป็น 3 ปีแห่งความยิ่งใหญ่ของ EVE’S ที่จะเรียกเสียงฮือฮาจากลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายได้แบบคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ส่วนในระยะยาวผมคิดว่าเราคงไม่วางแผนไกลไปถึง 10 ปี เพราะแผนที่วางกันวันนี้อาจไม่ตอบโจทย์ในอีก 10 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับเรื่องที่เราเคยคิดไว้เมื่อ 10 ปีก่อนก็อาจไม่ใช่สำหรับวันนี้
สิ่งที่ผมเชื่อว่าจะใช้ได้แน่นอนและจะเป็นเทรนด์ที่อยู่ได้นานน่าจะมองกันแค่ระยะสั้นกับระยะกลางเท่านั้น และในอนาคตอันใกล้นี้สิ่งที่ EVE’S ยังต้องการเพิ่มมากขึ้นคือคนเก่งครับ
คนเก่งคือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะเข้ามาร่วมพัฒนา EVE’S ไปด้วยกัน และในช่วงเวลาหลังจากนี้ผมจะมองหาคนเก่งเข้ามาเสริมทีม ซึ่งนั่นก็ต้องอยู่ที่ว่าเราจะได้เจอคนเก่งแบบไหน และเขาสามารถเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของเราได้หรือไม่
ประสบการณ์ของผมจะเป็นตัวคัดกรองเอง
นับถึงวันนี้หากมองในแง่มุมธุรกิจ ผมเชื่อว่า EVE’S มีอาวุธครบมือแล้ว เรามีโรงงาน เจ้าของแบรนด์มีความรู้ มีเพื่อนร่วมงานที่เก่ง มีสุดยอดทีมขาย
ที่สำคัญคือเรามีสตอรี่แบรนด์…แบรนด์ของเรามีชีวิตครับ
ส่วนในแง่ของผู้ใช้ ใครที่ยังไม่เคยรู้จัก EVE’S ผมอยากให้ลองเปิดใจกับทุกผลิตภัณฑ์ของเรา ที่ผ่านมาคุณอาจไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณเคยใช้มีที่มาอย่างไร แต่ถ้าคุณอยากรู้จัก EVE’S ในทุกกระบวนการผลิต คุณเข้ามาชมได้ทันทีที่โรงงาน
ผมจึงกล้าพูดว่าทุกผลิตภัณฑ์ของ EVE’S ไม่มีคุณสมบัติด้านใดด้อยไปกว่าแบรนด์อื่นเลย
“เมื่อได้ร่วมมือร่วมใจกันแล้ว จะไม่มีการทิ้งใคร และพวกเราต้องไปด้วยกัน”
สำหรับผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายของ EVE’S ผมแนะนำว่า ขั้นแรกคุณต้องเริ่มต้นจากการใช้สินค้าของเราก่อน จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใดชนิดใดก็ได้
ลองสำรวจตัวเองว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน ผิวหน้าหรือผิวกาย แล้วเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลในจุดนั้น ๆ เพื่อให้เห็นผลในตัวเองเสียก่อน แล้วค่อยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา วิธีนี้จะทำให้คุณเป็นตัวแทนจำหน่ายได้อย่างมั่นใจที่สุด
ทุกผลิตภัณฑ์ของ EVE’S เราเน้นให้ตัวแทนจำหน่ายใช้จริงแล้วนำเสนอผลที่ได้กับตัวเองออกมา เป็นการขายที่ไม่หลอกลวง เพราะคุณใช้แล้วดีจริงจึงมั่นใจที่จะขาย นี่คือรูปแบบการขายสินค้าที่ตรงไปตรงมาที่สุดแล้วสำหรับ EVE’S
ซึ่งก็คือขายจากประสบการณ์ของตัวเองครับ
การเป็นผู้ใช้จริงเท่านั้นที่จะทำให้เรากลายเป็นผู้ขายที่มั่นใจและกล้าขายสินค้าที่เราเคยใช้เอง
ส่วนคนที่อาจเชื่อมั่นว่าตัวเองเคยเป็นนักขายมือหนึ่งมาจากที่อื่น และเข้ามาพร้อมทีมขายเพื่อขอรับสินค้าไปขายทันที ผมก็ยังยืนยันว่าคุณควรจะเริ่มจากการทดลองใช้จริงก่อนขายเท่านั้นครับ ทุกคนควรไปเริ่มที่จุดสตาร์ทเดียวกัน
ถ้าแค่เชื่อมั่นว่าตัวเองมีเงินหรือขายเก่งแต่ไม่คิดจะศึกษาแบรนด์เลยผมคงต้องเชิญให้ไปที่อื่น เพราะที่นี่คือ EVE’S พวกเราไม่จำเป็นต้องรับใครเข้ามาเพียงเพราะรวยหรือเก่ง แต่มีแนวคิดและทัศนคติที่แตกต่างไปจากพวกเรา
ผมเปิดรับเฉพาะคนที่มีหัวใจและ DNA เดียวกัน เมื่อ EVE’S มีเป้าหมายที่จะแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าเราก็ต้องเริ่มทดลองกับตัวเองก่อนจนเห็นผล แล้วจึงกล้านำเสนอและกล้าขายในสิ่งที่ตัวเองได้สัมผัสแล้วจริง ๆ ผมต้องการแค่นี้
ลองตรวจสอบตัวเองก่อนก็ได้ครับว่าคุณมี DNA EVE’S อยู่ในสายเลือดหรือเปล่า
ข้อ 1 คุณซื่อสัตย์ต่อตัวเองและลูกค้าหรือไม่ กล้านำเสนอความจริงกับลูกค้าโดยไม่หลอกตัวเองแล้วหรือยัง
ข้อ 2 คุณจริงใจกับอาชีพนี้แค่ไหน และจะทำมันด้วยความตั้งใจหรือไม่ หรือคิดจะทำเพียงเพื่อให้ได้เงินแล้วจบ โดยไม่คิดจะส่งต่อความจริงใจไปเรื่อย ๆ ในรูปแบบพี่น้องครอบครัวเดียวกันเหมือนที่พวกเราชาว EVE’S ทำมาตลอด
ข้อ 3 คุณพร้อมจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ที่ได้รับจากธุรกิจนี้ต่อไปยังคนอื่น ๆ อย่างที่คุณเคยเป็นฝ่ายได้รับมาหรือไม่
แค่นี้เองครับ พวกเราชาว EVE’S มีความเป็นอยู่ง่าย ๆ แบบนี้ ที่นี่มีแต่ความจริงใจและปรารถนาดีต่อกัน ทุกคนพร้อมช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอเมื่อมีใครสักคนต้องการ บ้านหลังนี้ของพวกเราอบอุ่นที่สุด
ผมรักแบรนด์และทีมของผมมาก ไม่เคยต้องการหยิบความรักและปรารถนาดีที่มีต่อกันไปแลกกับเงินทองหรือยอดขาย และผมยืนยันในสัจวาจานี้เสมอมา
ครั้งหนึ่งเคยมีคนติดต่อขอซื้อสินค้า EVE’S หลายพันชิ้น ครั้งนั้นหากยอมขายนั่นหมายถึงผมทรยศตัวแทนจำหน่ายและไม่รักษาสัจจะ เพราะเคยพูดไว้แล้วว่าผมจะไม่ขายสินค้าให้ใครเลยนอกจากตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น
จริง ๆ แล้วหากแอบขายก็ไม่มีใครรู้ แต่ผมรักษาสัจจะของตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วคนที่มาขอซื้อสินค้าจำนวนมากขนาดนี้เขาก็จะนำสินค้ากลับสู่ตลาด และก็จะเข้าสู่วงจรเดิมคือการนำมาขายตัดราคาตัวแทนจำหน่ายของเรา
ต่างอะไรกับการที่ผมหยิบมีดหยิบปืนส่งให้คนอื่นนำมาไล่ยิงไล่ฆ่าตัวแทนจำหน่ายของผมเอง
แบบนั้นเรียกว่าทรยศคงไม่พอครับ แต่ยังเป็นการทำร้ายคนที่ผมรักด้วย ซึ่งพวกเขาเองก็รักผม และหากผมเลือกจะทำท้ายที่สุดตัวแทนจำหน่ายตัวเล็ก ๆ ของ EVE’S ก็จะค่อย ๆ ตายไปโดยมีผมเป็นคนทรยศอาชีพตัวเอง
แต่ถามว่า ในเส้นทางธุรกิจผมเคยทรยศคำพูดตัวเองไหม…ตอบตรง ๆ ว่าเคยครับ
ครั้งหนึ่งผมเคยพูดไว้ว่าจะนำ EVE’S เข้าตลาดหลักทรัพย์ เชื่อว่ามีหลายคนจำคำพูดนี้ได้ และตัวแทนจำหน่ายของ EVE’S ทุกคนก็น่าจะไม่ลืมคำพูดนี้ของผม
เหตุที่พูดเพราะครั้งนั้นผมเคยคิดว่าหาก EVE’S เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ พวกเราทุกคนจะดีขึ้น คิดว่าธุรกิจของเราจะต้องดี รุ่งเรืองและส่งผลให้ตัวแทนจำหน่ายทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นตามไปด้วย
นั่นคือผมพูดในวันที่ยังมีความรู้ไม่มากพอ
แต่แล้วเมื่อได้ศึกษา ได้เรียนรู้จนเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น ผมเปลี่ยนใจทันทีครับ หากนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ คนแรกที่จะได้ประโยชน์คือผม ผมเป็นฝ่ายได้เงิน ผมได้ประโยชน์คนเดียว
แต่อย่าลืมว่าเมื่อมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย และคนที่จะต้องเจ็บตัวก็คือตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด
เมื่อรู้แน่ชัดแล้วผมจำเป็นต้องทรยศคำพูดตัวเองเพื่อรักษาชีวิตตัวแทนจำหน่ายไว้ เราจะไม่ทิ้งใครไว้ระหว่างทาง EVE’S ต้องไปด้วยกันทุกคนทุกระดับ ความรักความผูกพันของพวกเราชาว EVE’S มีค่ามากกว่าเงินมหาศาล
ทุกวันนี้การมีชีวิตที่ดีขึ้นของตัวแทนจำหน่ายถือเป็นหนึ่งในความสุขของชีวิตผม ผมมีความสุขมากเมื่อได้พบเจอพวกเขาทุกคน จึงพยายามหากิจกรรมให้พวกเราได้มาพบปะกัน ปีละครั้งสองครั้งต้องมีครับ
พวกเราทำธุรกิจร่วมกันมา วันใดที่เห็นตัวแทนจำหน่ายมีความสุขเราก็สุขไปด้วย ได้เห็นลูกหลานของเขามาวิ่งเล่นกันสนุกสนาน เห็นเขาออกรถใหม่ ซื้อบ้านใหม่ อะไรจะสุขไปกว่านี้ล่ะครับ สุขที่มีเงินมากคงไม่เท่ากับสุขที่ได้เห็นภาพเหล่านี้
หลังจากนี้เราคงต้องเฝ้ามองดูการเปลี่ยนแปลงของโลกไปด้วยกัน เพื่อวางแผนธุรกิจให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โลกอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้ EVE’S พร้อมจะปรับเปลี่ยนมุมมองและมุมการบริหารธุรกิจไปตามโลกเช่นกัน
เพราะต้องไม่ลืมว่าทุกการเปลี่ยนผ่านของโลกในแต่ละช่วงเวลาอาจนำพาเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงมาให้เราได้เรียนรู้อยู่เสมอ และเราต้องคิดทำทุกวิถีทางเพื่อข้ามผ่านมันไปให้ได้
ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผม แต่เราทุกคนต้องฝ่าไปให้ได้ด้วยกัน
ในเรื่องนี้ผมอยากพูดถึงการก้าวผ่านช่วงวิกฤติโควิด-19 ของ EVE’S ไว้สักนิดหนึ่ง เพราะอย่างที่รู้กันว่าเป็นเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบให้กับทุกธุรกิจทั่วโลก
ต้องเล่าว่าวันหนึ่งในช่วงต้นปี 2563 ระหว่างอาหารมื้อเย็นหลังประชุมทีมการตลาดเด็ก ๆ ในทีมถามขึ้นว่า ทำไม EVE’S ไม่ผลิตเจลแอลกอฮอล์ออกสู่ตลาด เพราะช่วงนั้นเริ่มเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงและเริ่มจะขาดตลาด
ผมคุ้นอยู่ว่า เจลตัวนี้พี่เอนกผู้จัดการโรงงานของเราผลิตไว้อยู่แล้วเพื่อสำหรับใช้กันภายในโรงงานตามระบบ GMP ผมต่อยอดทันทีเพราะของมีอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อถามความคิดเห็นจากตัวแทนจำหน่ายแล้วทุกคนเห็นด้วย
เราจึงเริ่มมองหาบรรจุภัณฑ์เป็นขวดพลาสติกเตรียมความพร้อมไว้ จากนั้นก็ผลิตเจลแอลกอฮอล์ออกขายในราคาที่เหมาะสมทุกคนหาซื้อได้คือขวดละ 59 บาท EVE’S เปิดพรีออเดอร์กันที่ 100,000 ขวดทันที
จนมาถึงช่วงเดือนมีนาคม 2563 ที่โควิด-19 เริ่มระบาดหนัก คราวนี้เจลแอลกอฮอล์ในท้องตลาดแทบไม่มีขาย ช่วงวิกฤติจึงกลายเป็นโอกาสของ EVE’S อีกครั้ง เพราะในสถานการณ์นี้สินค้าตัวอื่นของเราเริ่มมียอดขายตกลงไปบ้าง
EVE’S จึงออกผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์บรรจุขวด ก่อนจะตามมาเป็นแบบบรรจุถุงเพื่อให้มีสินค้าเพียงพอกับความต้องการของตลาดเพราะเจลบรรจุขวดในเวลานั้นผลิตไม่ทันยอดสั่งซื้อแล้ว
ถือเป็นอีกช่วงเวลาสำคัญที่ตัวแทนจำหน่ายของ EVE’S ทุกชีวิตฟื้นกลับมาคึกคักกันได้อีกครั้ง
การบริหารงานของ EVE’S ในเรื่องนี้ที่เราอยู่ท่ามกลางวิกฤติระดับโลกจึงต้องแบ่งออกให้เห็นภาพชัด ๆ ว่าเรามีจุดสำคัญอยู่ 3 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนสำคัญกับ EVE’S ทั้งหมด แม้จะเกิดวิกฤติแต่เราก็ไม่เคยละเลย
นั่นคือ อย่างแรก เราผลิตเจลแอลกอฮอล์ตัวนี้เพื่อสังคม ในภาวะที่สินค้าขาดตลาด แต่กลับเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการป้องกันตัวเองจากเชื้อโรค เราจึงผลิตสินค้าในราคาที่ซื้อง่าย ไม่ใช้โอกาสนี้ปรับราคาสินค้าให้สูงเพื่อกอบโกย
อย่างที่ 2 เราทำเพื่อดูแลตัวแทนจำหน่าย EVE’S สร้างพื้นที่ในการยืนหยัดอาชีพนี้ไว้ให้ตัวแทนจำหน่ายยังคงสร้างรายได้จากสินค้าแม้เป็นช่วงเวลาที่แสนยากลำบากกับคนทุกอาชีพ แต่ไม่ว่าอย่างไร ตัวแทนจำหน่ายของ EVE’S ต้องรอด
และ อย่างที่ 3 เรายังคงเยียวยาตัวแทนจำหน่ายในกรณีที่จองสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก พรีออเดอร์ไว้เยอะจนเมื่อเริ่มมีเจลแอลกอฮอล์หลายแบนด์ออกมาวางขายก็เริ่มขายยากเพราะสินค้าล้นตลาด
ช่วงนั้นผมบอกตัวแทนจำหน่ายเลยว่า คุณต้องการเจลแอลกอฮอล์เท่าไรก็ได้ หากจองแล้วมากไปจนเกินต้นทุนตัวเองผมจะรับผิดชอบให้ ถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันในยามวิกฤติเพื่อไม่ให้ตัวแทนจำหน่ายของเราบาดเจ็บ
และสุดท้าย EVE’S ก็ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 มาได้อย่างสวยงาม
เราต้องช่วยเหลือกันตามสถานการณ์ครับ ในอนาคตมีเรื่องราวอีกมากที่เรายังต้องพบเจอ และผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายเหตุการณ์หลายวิกฤติที่จะเกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของโลก ผมบอกแล้วนะครับว่าการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ต้องมีแน่นอน
แต่สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือความสัมพันธ์ระหว่าง EVE’S กับตัวแทนจำหน่าย และระหว่าง EVE’S กับลูกค้า EVE’S คือแบรนด์สร้างคน EVE’S คือแบรนด์สร้างความผูกพัน และ EVE’S คือแบรนด์สร้างชีวิต
โลกหลังจากนี้ต้องเปลี่ยนแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง แต่ลองได้ร่วมมือร่วมใจกันแล้ว EVE’S จะไม่มีการทิ้งใครไว้ระหว่างทาง พวกเราต้องไปด้วยกัน
ต่อให้โลกเปลี่ยน แต่ความสัมพันธ์ที่สวยงามของชาว EVE’S จะยังเหมือนเดิมเสมอ
“เมื่อมีโอกาสและมองเห็นช่องทาง อย่าช้า อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป”
ช่วงหนึ่งของชีวิตอีฟเคยทำงานเป็นพริตตี้มาก่อน รู้ตัวว่าอาจจะไม่ได้ถนัดงานพริตตี้เท่าไร แต่ช่องทางและโอกาสดี ๆ หลายครั้งในชีวิตอีฟก็ได้รับจากการเป็นพริตตี้นี่แหละ
เพราะในยุคหนึ่งพริตตี้มักเป็นที่สนใจของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การแต่งตัว การใช้สินค้า ถ้าพริตตี้เลือกหยิบเลือกใช้สินค้าตัวไหนรับรองว่าจะมีผู้หญิงส่วนหนึ่งทำตามทันที ด้วยแนวคิดที่ว่า อยากสวย อยากดูดีเหมือนพริตตี้
และระยะแรกที่อีฟเริ่มขายครีมก็ขายดีจากที่ลูกค้าเชื่อในความเป็นพริตตี้ เขาเชื่อมั่นว่าเราต้องเลือกใช้แต่ของดีเพื่อให้ตัวเองสวยงาม อาชีพพริตตี้ของอีฟเลยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาซื้อครีมได้ไม่ยาก
ทำไปทำมาอีฟคิดว่าตัวเองเริ่มจะถนัดเรื่องครีมมากกว่าเป็นพริตตี้ด้วยซ้ำ แม้จะเริ่มต้นแบบเขิน ๆ อยู่บ้างในช่วงที่ต้องโพสต์ครีมขายผ่านเฟซบุ๊ก กลัวขายไม่ได้บ้าง และกังวลอยู่บ้างว่าโพสต์ไปแล้วเพื่อนและคนอื่น ๆ จะคิดอย่างไรกับเรา
แต่ก็คิดได้ว่า เมื่อมีโอกาสและมองเห็นช่องทาง เราต้องอย่าช้า อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป
ช่วงนั้นเฟซบุ๊กเพิ่งฮิตในบ้านเราไม่นาน อีฟน่าจะเป็นพริตตี้คนแรก ๆ ที่เริ่มขายของผ่านเฟซบุ๊ก เพราะพริตตี้ส่วนใหญ่ที่เห็นมักเน้นไปทางโพสต์รูปสวย ๆ ของตัวเองขณะรับงานในสถานที่ต่าง ๆ มากกว่า
แต่ก็อาจจะกังวลไปเอง เพราะหลังจากโพสต์ขายไปแล้วปรากฏว่าการเป็นพริตตี้ของตัวเองทำให้มีคนสนใจสินค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าอีฟจะหยิบครีมอะไรมาขาย ทั้งครีมสำหรับผิวหน้าและผิวกายก็ขายดีทุกตัว
จนสุดท้ายเราก็ทิ้งทุกอย่างเพื่อหันมาจริงจังกับธุรกิจตัวนี้ให้มากขึ้น เพราะมองเห็นลู่ทางว่าน่าจะไปได้ดีกว่า ที่สำคัญกว่านั้นคืออีฟเริ่มชอบและสนใจเรื่องครีมมากกว่าที่จะแค่รับมาขายไปอย่างที่เคยทำมา
ขั้นต่อไปจึงคิดจะทำครีมเป็นของตัวเองบ้างแล้ว
“ความอ่อนแอไม่ใช่ทางออกของปัญหา ต้องตั้งสติเพื่อพร้อมเผชิญหน้ากับมันได้ทุกเมื่อ”
อีฟกับคุณโน้ตเริ่มตั้งตัวได้ระดับหนึ่งจากการขายครีม และเราได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าเป็นจำนวนมากจนทำให้แนวคิดที่อยากทำครีมเป็นของตัวเองยิ่งชัดเจนขึ้น
แต่จุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้มาพร้อมกับการขาดความรู้ของเรา เราสองคนเริ่มต้นจากการขายลูกชิ้นปลาทอด จากการเป็นพริตตี้ จนมารับครีมขาย และกำลังจะก้าวขึ้นสู่การเป็นเจ้าของแบรนด์
แต่เราข้ามขั้นตอนการศึกษาหาข้อมูลและสะสมประสบการณ์ที่ควรมี
เราทำครีมด้วยการสั่งผลิต แจ้งความต้องการให้กับโรงงาน และรอรับสินค้าที่บรรจุเสร็จเรียบร้อยมาขาย ยอดขายดีมากและแบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่วันหนึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นจนได้
การขาดความรู้และประสบการณ์ทำให้เราพลาด
เพราะการสั่งผลิตครีมของเราเกิดปัญหาจากการถูกตรวจพบว่ามีสินค้าไม่ได้มาตรฐาน และค่อย ๆ มีผลกระทบกับความเชื่อมั่นของลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แม้สาเหตุจะไม่ได้เกิดจากเรา แต่เราต้องเป็นผู้แก้ปัญหานี้
ตอนนั้นอีฟทำอะไรไม่ถูกเลย ตกใจและเสียใจที่เราไม่ได้ระวัง ไม่คิดว่าโลกของธุรกิจจะโหดร้ายขนาดนี้ อีฟกับคุณโน้ตเป็นแค่เด็กวัยรุ่น 2 คนที่ตั้งใจจะทำมาหากินโดยสุจริตเท่านั้น และเราก็มีภูมิต้านทานกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้น้อยเหลือเกิน
อีฟเอาแต่ร้องไห้ นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ได้
แต่คุณโน้ตกลับบอกให้สู้!
เขาบอกอีฟว่า เราต้องกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่ต้องหนี ไม่ต้องกลัว และเมื่อเราทิ้งความอ่อนแอไป สิ่งที่อีฟได้เห็นคือปัญหาเริ่มคลี่คลายได้จริง ๆ
คุณโน้ตเป็นผู้นำที่ดีในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ เขาใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งเพื่อพลิกสถานการณ์กลับมา ซึ่งแม้จะต้องร้องไห้ เหนื่อยและท้อใจอยู่มาก แต่สุดท้ายเราสองคนก็กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
หลังเหตุการณ์นี้ทั้งคุณโน้ตและอีฟเหมือนได้เติบโตขึ้นอีกขั้น โดยเฉพาะสำหรับคุณโน้ต หลายคำแนะนำจากแนวคิดของเขาทำให้อีฟยอมรับและเชื่อถือ หลายครั้งที่เขาคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น และมันก็มักจะเป็นไปตามที่เขาคิดไว้จริง ๆ
การมีมุมมองในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการมองทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดีของคุณโน้ตทำให้อีฟรู้สึกเชื่อมั่นและอุ่นใจว่าเราจะไม่พลาดกับเรื่องเดิม ๆ และเราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกันได้ดี
สำหรับอีฟ อีฟได้บทเรียนสำคัญไว้สอนตัวเองว่า ความอ่อนแอไม่ใช่ทางออกของปัญหา เราต้องตั้งสติเพื่อพร้อมเผชิญหน้ากับมันได้ทุกเมื่อ เพราะบางครั้งยิ่งอ่อนแอมากเท่าไรเราก็อาจยิ่งถูกรังแกมากขึ้นเท่านั้น
โลกไม่ต้องการคนอ่อนแอหรือถ่อมตัวเสมอไป ในบางครั้งเราแข็งบ้างก็ได้ เราสู้บ้างก็ได้
“อย่าพลาดล้มอย่างคนที่ไม่มีความรู้ และอย่าปล่อยให้ความไม่รู้นำพาปัญหามาให้”
อย่างที่บอกค่ะ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้คุณโน้ตและอีฟเติบโตขึ้น และได้ใช้มันเป็นบทเรียนสำคัญของชีวิต คุณโน้ตบอกอีฟเสมอว่า “ในทุกวิกฤติจะมีบทเรียนและจังหวะดี ๆ ให้เราได้เรียนรู้และเก่งขึ้นกว่าเดิม”
อีฟเชื่อว่าปัญหาเกิดจากเราขาดความรู้ เราจ้างผลิตโดยบอกแค่ว่าอยากได้ครีมแบบไหน แต่เราไม่รู้ว่าเขาผลิตอย่างไร สิ่งที่เราสั่งให้ใส่ลงในครีมของเราเขาได้ใส่หรือเปล่า และถ้าใส่แล้วเขาใส่เท่าไร เท่ากับปริมาณที่เราอยากให้เห็นผลไหม
เลยตัดสินใจทันทีว่าต้องไปเรียนรู้การผลิตครีมและเครื่องสำอางอื่น ๆ อย่างจริงจัง เพื่อให้รู้ถึงวิธีการ ที่มาที่ไปของครีมและสารต่าง ๆ ที่ผสมอยู่ในนั้น ให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วเห็นจริง
และสำคัญที่สุดคือต้องปลอดภัยกับผู้ใช้ด้วย
อีฟเริ่มจากเรียนพื้นฐานองค์ประกอบของผิวเพื่อให้รู้ว่าผิวแต่ละประเภทจะเข้ากับครีมชนิดใดได้ดี ได้รู้ถึงปัญหาของผิว ผิวแพ้ เป็นสิว เป็นฝ้า จนถึงระดับที่เราสามารถออกแบบและพัฒนาเครื่องสำอางเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ผลดีที่สุด
หลังผ่านการเรียนเนื้อหาแน่น ๆ จนจบหลักสูตร อีฟกลับมาพร้อมพลังและไฟที่จะผลิตครีมของตัวเองเดี๋ยวนั้นเลย การเรียนช่วยเพิ่มมุมมองให้อีฟเข้าใจปัญหาและมุ่งที่จะรักษาผิวมากกว่าที่จะมองถึงผลกำไรทางการตลาดเพียงอย่างเดียว
อย่างถ้ามองที่ปัญหาเรื่องฝ้า อีฟจะลงลึกไปถึงสาเหตุของการเกิด จะพยายามหาสารสกัดเข้าไปยับยั้งไม่ให้ฝ้าเกิดขึ้นอีก เพราะถ้าไม่ยับยั้งที่ต้นเหตุ แม้จะกำจัดฝ้าออกไปได้สุดท้ายฝ้าก็จะเกิดขึ้นอีกอยู่ดี
การยับยั้งตั้งแต่ต้นเหตุของปัญหาย่อมให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
แม้ช่วงทดลองในแล็บอีฟต้องลองผิดลองถูกจนต้องเทครีมทิ้งไปหลายรอบ เพราะบางครั้งเนื้อครีมไม่เข้ากันบ้าง สารบางตัวแยกชั้นไม่เป็นเนื้อเดียวกันบ้าง แต่ก็ต้องทดลองทำครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้ได้ครีมที่ดีที่สุด
ดังนั้นกว่าจะได้ครีมที่ลูกค้ายอมรับในผลการใช้จะมีขั้นตอนการพัฒนาที่ไม่ง่ายเลย
นึกเสียดายและโทษตัวเองอยู่นิดหน่อยว่า ก่อนหน้านั้นทั้งที่รู้ตัวแล้วว่าเริ่มจะสนใจและรักที่จะเรียนรู้การผลิตเครื่องสำอาง แต่ก็ยังไม่ตัดสินใจไปเรียนเสียที
เหตุการณ์นี้จึงเหมือนจุดชนวนให้เกิดแรงผลักมหาศาลจนทำให้อีฟรู้สึกว่า ‘ถึงเวลาของเราแล้ว’
หลังจากนั้นจึงเป็นการเกิดขึ้นของเครื่องสำอางที่มีพื้นฐานจาก ‘ใจรัก’ และ ‘รู้จริง’ ประสานรวมกันเพื่อสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่พร้อมสำหรับการแก้ปัญหาด้านผิวให้แก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
วันนี้…เมื่อหันกลับไปมองวันเก่า ๆ อีฟจะบอกตัวเองเสมอว่า อย่าพลาดล้มอย่างคนที่ไม่มีความรู้ และอย่าปล่อยให้ความไม่รู้นำพาปัญหามาให้
เราจะไม่กลับไปล้มแบบนั้นอีก เราจะไม่เป็นคนที่ไม่มีความรู้แบบนั้นอีกแล้ว
“ก้าวตามให้ทันทุกนวัตกรรมใหม่ แล้วใช้มันสร้างความแตกต่าง”
วันที่ EVE’S มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราได้มากขึ้น ทุกขั้นตอนการผลิตจะอยู่ในสายตาอีฟตลอด เพราะเป็นคนคิดค้นเอง พัฒนาสูตรเอง คัดสรรสารสกัดต่าง ๆ เอง เข้าห้องแล็บเพื่อใส่และผสมสารเองกับมือ
อีฟมีความตั้งใจที่จะทำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และต้องการให้ลูกค้าใช้แล้วเห็นผลเร็วจึงผสมสารสกัดที่จะช่วยแก้ไขปัญหาบนผิวหน้าในปริมาณที่มาก แต่อยู่ในระดับที่ปลอดภัยตรงตามมาตรฐานที่ อย. กำหนด
การเรียนผลิตเครื่องสำอางจริง ๆ แล้วเราจะได้ความรู้ตามตำราเป็นพื้นฐาน แต่ต่อจากนั้นอีฟว่าเราก็ต้องอาศัยประสบการณ์ตัวเองเพื่อที่จะค้นคว้าหาสารสกัดมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ของเราเอง
ซึ่งกว่าจะได้ตัวใหม่ ๆ อีฟต้องผสมค้นคว้าแล้วทดลองใช้กับผิวหน้าตัวเอง ย้ำว่าใช้กับผิวหน้าตัวเองทุกครั้ง ถ้าไม่ดีก็คัดออก แต่ถ้าเจอตัวที่ใช้แล้วได้ผลดีก็จะเก็บไว้พัฒนาต่อเพื่อให้ได้สูตรที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้ดีที่สุด
กว่า 9 ปีที่ผ่านมาอีฟและทีมงานร่วมกันพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ EVE’s ออกมาหลากหลาย และถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากจนติดตลาด โดยเฉพาะเซรั่มรกม้า บูสเตอร์ ไบโอมายด์ เจลล้างหน้า ครีมทาผิว ครีมกันแดด ฯลฯ
EVE’S เป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้น ‘การพัฒนาตัวเองโดยไม่แข่งขันกับใคร’ แต่เราจะแข่งขันกับตัวเองเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ที่เยี่ยมว่าสูตรเก่า พัฒนาไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้สูตรที่ลงตัวและตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด
ที่สำคัญคือ ‘EVE’S ไม่พัฒนาตามใคร’ เราจะมองที่ปัญหาของลูกค้าเป็นหลัก อาจจะมีการพูดคุยหรือสอบถามเพื่อให้ได้รู้ว่าลูกค้ามีปัญหาผิวอย่างไรบ้าง และผลิตภัณฑ์ชนิดใดที่พวกเขาต้องการ แล้วเราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปตามนั้น
อีฟพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเราเพื่อให้เข้าใจลูกค้ามากที่สุด ทุกคนต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีคุณภาพ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่าลูกค้าของ EVE’S จะได้รับสิ่งที่ดี มีคุณภาพและตรงใจที่สุดเสมอ
ทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของการเลือกใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของ EVE’S
EVE’S ก้าวทันทุกนวัตกรรม ทุกนวัตกรรมใหม่จะถูกนำมาทดสอบและวิจัยเพื่อผลิต นี่คืออีกหนึ่งข้อดีของการมีโรงงานเป็นของตัวเอง เพราะเมื่อเกิดนวัตกรรมใหม่ เราทดลองแล้วพร้อมผลิตทันที ไม่ต้องไปรอคิวการผลิตที่โรงงานไหน
EVE’S ใช้นวัตกรรมในการเลือกสรรสารสกัดที่สามารถรวมตัวกันแล้วส่งผลดีต่อการดูแลผิว นวัตกรรมที่ช่วยให้สารสกัดแต่ละชนิดสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี และต้องเป็นนวัตกรรมที่จะทำให้สารสกัดแต่ละตัวช่วยเสริมฤทธิ์กันและกัน
องค์ประกอบเหล่านี้คือจุดเด่นของแบรนด์ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับความนิยมมาโดยตลอด
“เราไม่ได้คิดแค่จะขายครีม แต่เราอยากแก้ปัญหาผิวให้ลูกค้า”
ผลิตภัณฑ์ของ EVE’S ถูกตั้งราคาขายไว้ในระดับที่ไม่สูงมากนัก ซึ่งอีฟมั่นใจว่านั่นเป็นราคาที่เหมาะสมแต่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และที่เราสามารถตั้งราคาระดับนี้ได้เพราะเรามีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง
การมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองทำให้เราสามารถสั่งซื้อวัตถุดิบและสารสกัดต่าง ๆ ได้ในราคาโรงงานเช่นกัน เราผลิตโดยไม่ต้องผ่านคนกลางในการเจรจาต่อรองราคาวัตถุดิบ และมีทีมงานของเราเอง ไม่ต้องจ้างผลิตหรือจ้างนักวิจัย
ดังนั้นผลิตภัณฑ์ของเราจึงมีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับราคา และเราคงไม่สามารถตั้งราคาในระดับนี้ได้หากเรายังต้องจ้างผลิต หรือมีค่าการตลาดสูงเข้ามาเป็นองค์ประกอบร่วมในส่วนของต้นทุน
เพราะฉะนั้นแม้ราคาอาจดูไม่สูงนักในมุมมองของลูกค้าบางกลุ่ม แต่เรื่องคุณภาพเรามีมากกว่านั้น และคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ของ EVE’S ครอบคลุมการดูแลผิวไม่แพ้ใคร
การที่เป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ขาย รวมถึงเป็นผู้ใช้เองด้วย ทำให้อีฟเชื่อว่าตัวเองเข้าใจในความต้องการของลูกค้า รู้ว่าลูกค้าคิดอย่างไรและคาดหวังอย่างไรหากจะตัดสินใจซื้อครีมมาใช้
อีฟเคยเป็นลูกค้าที่เดินเลือกซื้อครีมตามท้องตลาดมาก่อน ในวันนั้นอีฟไม่เคยได้รับการแนะนำจากคนขายว่าผิวของเราเหมาะกับครีมแบบไหน เพราะเขารับมาขายอย่างเดียว และเราก็ต้องสุ่มเลือกมาทดลองใช้ด้วยตัวเอง
แต่วันนี้เมื่ออีฟมีสถานะเป็นผู้ผลิต ทุกครั้งที่มีโอกาสได้พูดคุยกับลูกค้าหรือมีคนสอบถามเข้ามาถึงเรื่องของการเลือกครีม อีฟจะขอข้อมูลเบื้องต้นก่อนเลยว่า ผิวของเขาเป็นอย่างไร และเขากำลังมีปัญหาด้านไหน
แล้วจึงค่อยแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะและไม่เหมาะกับผิวของเขาจริง ๆ
อีฟไม่ได้คิดแค่จะขายครีม แต่อยากมีส่วนในการช่วยให้ปัญหาของลูกค้าหมดไป เราทำในสิ่งที่เรียกว่าเป็นบริการหลังการขาย คือยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำทั้งส่วนของผลิตภัณฑ์และพูดคุยถึงปัญหาที่ลูกค้าเป็นอยู่
ผิวคนเรามีหลายประเภท ในการผลิตอีฟจะเลือกสารสกัดต่าง ๆ ที่มีสภาพเป็นกลางที่สุด อ่อนโยนที่สุด ตัวที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองจะพยายามเลี่ยง ตัวไหนที่เหมาะสมและให้ผลในการรักษาดีแม้ต้นทุนสูงเราก็ยินดีจะเลือกใช้
จึงเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะเราต้องผลิตครีมออกมาให้ครอบคลุมลูกค้าในระดับกว้าง อีฟเข้าใจในเรื่องนี้จากประสบการณ์ที่ได้ลองใช้เอง เพราะเมื่อลองใช้เราจะสามารถอธิบายและแนะนำลูกค้าได้ชัดเจนที่สุด
สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดคือลูกค้าต้องรู้จักผิวของตัวเองด้วย เพื่อให้การเลือกใช้ครีมง่ายขึ้น และบ่อยครั้งเพื่อให้ลูกค้าเกิดความเข้าใจมากขึ้นอีฟจะพยายามอธิบายลึกไปถึงโครงสร้างผิว ให้เห็นว่าครีมของเราเมื่อใช้แล้วจะซึมลึกไปถึงผิวชั้นไหน
แกนหลักของ EVE’S ไม่ได้อยู่ที่การแก้ปัญหาผิวให้ดีขึ้นทันทีทันใด แต่จะเข้าไปช่วยให้ผิวแข็งแรงเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเสริมด้วยสารสกัดที่มีประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันและช่วยบำรุงรักษาผิวให้ดีขึ้นแบบถาวร
EVE’S คือแบรนด์ที่เน้นคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เรามั่นใจในระดับคุณภาพจากการที่เราคิดค้นและผลิตด้วยตัวเอง และพร้อมส่งต่อความมั่นใจในคุณภาพนี้ไปยังลูกค้าทุกคน
ลูกค้าของ EVE’S จะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจาก EVE’S เสมอ
“ต้องทำชีวิตติดลบของเรา ให้กลายเป็นบวกให้ได้”
จ๋าเชื่อว่า ชีวิตมีวันนี้ได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประโยคที่ท่องมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต นั่นคือ ‘ชีวิตเราพึ่งใครไม่ได้’ ประโยคนี้ผลักดันให้จ๋าก้าวผ่านได้ทุกอุปสรรค เพราะเมื่อพึ่งพาใครไม่ได้ก็ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง
ชีวิตจ๋าดิ่งลงไปถึงจุดต่ำสุดก็เคยมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยยอมแพ้แม้ชีวิตจะไม่ได้สวยงาม และแม้จะไม่มีที่พึ่งแต่ก็ไม่เคยปล่อยให้ชีวิตย่ำแย่ไปเรื่อย ๆ โดยไม่พยายามทำอะไรเลย
เพราะจ๋าคิดเสมอว่า ต้องทำให้ชีวิตติดลบของเรามันกลายเป็นบวกให้ได้
จ๋าโตมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีปัญหาทางธุรกิจจนไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงดูลูก ๆ ได้เหมือนที่ผ่านมา และสุดท้ายก็แยกทางกัน แม่ก็พาพี่ ๆ หนีไปอยู่ที่อื่น จ๋าจึงรู้สึกเหมือนโดนทิ้งให้อยู่กับพ่อแค่ 2 คน
แต่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่เด็กคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่การทะเลาะตบตีและสาดคำหยาบคายใส่กันจะต้องเสียคนหรือมีปัญหาชีวิต
ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจจะมี…แต่ไม่ใช่จ๋า
จ๋าไม่เคยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างที่จะทำตัวเหลวแหลก สิ่งที่คิดและทำคือพยายามทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เรียนมัธยมปีที่ 3 แม้จะเหนื่อยที่ต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่นานและไม่เคยได้ใช้ชีวิตวัยเด็กเลย แต่ก็ต้องทำเพราะจ๋าพึ่งใครไม่ได้
จ๋าผ่านทุกอุปสรรคมาได้ด้วยตัวเอง แต่การที่ได้รับโอกาสจาก ‘เฮียโน้ต’ และ ‘เจ๊อีฟ’ ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตที่ทำให้จ๋าก้าวมาถึงจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน
วันนี้อยากให้ชีวิตจ๋าช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองกำลังแย่เหลือเกิน คิดว่าหมดหนทาง หรือไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปทางไหนต่อ และบางครั้งเราอาจหนีไม่พ้นที่ต้องเจอช่วงเวลาเลวร้ายในชีวิตบ้าง
แต่ถ้าจ๋าผ่านมันมาได้…คุณก็ต้องทำได้เหมือนกัน
“เราหนีปัญหาไม่ได้ แต่เราสู้กับปัญหาได้ อยู่ที่วิธีคิดว่าเราจะเลือกไปทางไหน ทัศนคติจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก”
จ๋าเริ่มทำงานหาเลี้ยงตัวเองด้วยการช่วยงานพ่อทำรองเท้าส่งขาย เพื่อเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมและค่ากินอยู่ของตัวเอง ทุกวันเลิกเรียนกลับถึงบ้านต้องทำรองเท้าไปจนถึงตี 2 แล้ว 6 โมงเช้าก็ตื่นมาอาบน้ำไปโรงเรียน
โตขึ้นมาหน่อยก็เริ่มไปขายเสื้อผ้า ขายรองเท้า โดนโกงไปบ้างก็มี ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร’ เพราะเราก็ต้องไปต่อ จนมาได้งานพริตตี้ที่ต้องไปยืนแจกสินค้าตัวอย่างให้กับคนที่ผ่านไปผ่านมาในสถานที่ต่าง ๆ
จ๋าเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนทั้งที่รู้ว่าค่าเทอมแพง แต่ก็เชื่อว่าอนาคตจะมีทางเลือกที่มากกว่า และการเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็เหนื่อยมาก แถมไม่ค่อยได้เข้าเรียนเพราะต้องทำงาน โชคดีที่เพื่อนช่วยเก็บชีทแต่ละวิชาไว้ให้
จ๋าพยายามเต็มที่กับทุกอย่าง โดยเฉพาะกับงานพริตตี้ที่ตอนนั้นเป็นแหล่งรายได้หลักอีกทาง จ๋าทำงานสุดความสามารถจนผู้ใหญ่ทุกบริษัทที่เคยจ้างพูดตรงกันว่า “เด็กคนนี้มันขยัน”
เหตุผลที่คิดว่าตัวเองต้องขยันกว่าคนอื่นเพราะสมัยเด็กจ๋ารู้ดีว่าตัวเองไม่สวยเลย ไม่ได้มีจุดขายที่หน้าตาจนทำให้ใคร ๆ อยากเลือกจ้าง เป็นพริตตี้ที่ไม่สวยใครจะมาสนใจ
ทำให้คิดได้อย่างเดียวว่า ถ้ารักจะเป็นพริตตี้ต่อไปและต้องการให้มีคนมาจ้างเราก็ต้องเอาความขยันไปสู้ เราต้องขยันให้มากกว่าคนอื่น ไม่เลือกงาน และทำงานให้เต็มที่สมกับเงินที่เขาจ้างเรา
ชีวิตจ๋าสู้เพื่อหาเงินไว้เป็นค่าเทอม ค่าใช้จ่ายประจำวัน และยังต้องหาเงินไปช่วยไถ่ถอนบ้านจากธนาคารเพราะพ่อแม่เคยจำนองไว้ในช่วงที่ครอบครัวลำบาก
รวมถึงต้องเผื่อไว้ดูแลตัวเองในวันที่ป่วยหลังจากตรวจพบว่ามีไทรอยด์เป็นพิษด้วย
จ๋ามีอุปสรรคชีวิตเยอะแยะไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหาล้อมอยู่รอบด้าน แน่นอนว่าเราหนีปัญหาไม่ได้ แต่เราสู้กับปัญหาได้เสมอ มันอยู่ที่วิธีคิดของเราว่าจะเลือกไปทางไหน และจ๋าเชื่อว่า ‘ทัศนคติ’ เป็นสิ่งสำคัญมาก
ถ้าจะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับปัญหาแล้วไม่ทำอะไรเลย หรือหาทางออกด้วยการหันไปหายาเสพติดชีวิตก็คงตายทั้งเป็นไม่มีวันได้เจอสิ่งดี ๆ เหมือนคนอื่น และจ๋าไม่เคยคิดจะทำแบบนั้น
เด็กบ้านแตกมักจะมีปลายทางให้เห็น 2 แบบ คือถ้าชีวิตไม่ได้รุ่งเรืองไปเลยก็ต้องเสียคนไปเลยเหมือนกัน เลือกเอาว่าจะให้ตัวเองเป็นแบบไหน และจ๋าโชคดีที่ไม่ปล่อยตัวลอยไปตามกระแส ไม่เลือกพาตัวเองไปในทางที่ไม่ดี
ท้ายที่สุดจ๋าก็เรียนจบ และก็ดูเหมือนว่าจ๋าจะดีใจเกินหน้าเกินตาใคร ๆ ที่ทำภารกิจเรื่องเรียนสำเร็จ เพราะใครจะรู้ดีเท่าจ๋าว่าตลอดเวลาที่ทั้งเรียนทั้งทำงานนั้นต้องปากกัดตีนถีบและเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะมีวันนี้ได้
และดีใจที่จะได้ทำงานเต็มที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเรียนอย่างที่ผ่านมา
“เมื่อเกิดปัญหาขึ้นทำให้เรารู้ว่า ที่ผ่านมาเราทำธุรกิจด้วยความไม่รู้ และไม่เคยศึกษาแนวทางการทำธุรกิจให้มากพอ”
ระหว่างทำงานพริตตี้ จ๋านำเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนเปิดร้านหมูกระทะ เป็นการลงทุนทำคนเดียวโดยมีแม่มาคอยช่วยดูแล และ ‘พริตตี้หมูกระทะ’ ก็ขายดีมาก โต๊ะเต็มทุกวัน
แต่ก็กลายเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่มีความรู้แต่ริจะทำธุรกิจ
จ๋าลงทุนทำร้านอาหารแบบไม่ได้มีความรู้เลย และก็ไม่เคยมีประสบการณ์ทำร้านอาหารมาก่อน ชีวิตนี้ทำแต่รองเท้าและเป็นพริตตี้ แต่เพราะหมูกระทะขายดีรายได้เยอะจากที่มีลูกค้าแน่นร้านทุกวันจ๋าเลยลุยต่อไปเรื่อย ๆ
ช่วงเวลาที่ขายดิบขายดีทำให้จ๋าเผลอตัวไปเหมือนกัน เพราะเรายังไม่เห็นปัญหา ทุกอย่างยังราบรื่นและเราก็สบายใจกับการที่เห็นรายได้ จึงเริ่มมีความสุขจากการที่นำรายได้เหล่านั้นเข้ามาต่อเติมร้านให้ยิ่งดูดีขึ้น กว้างขวางขึ้น
โดยไม่ได้เผื่อไว้สำหรับอนาคต เพราะจ๋ายังมองไม่เห็นปัญหาที่ยังมาไม่ถึง
ธุรกิจร้านอาหารจะต้องมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย จ๋าทำร้านหมูกระทะแต่ไม่รู้จังหวะการลงอาหาร การดูแลอาหารสด ปริมาณอาหารที่สั่งเข้าและนำออก รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
จนในที่สุดธุรกิจก็เริ่มมีปัญหา เริ่มติดขัดจุดนั้นจุดนี้ เพราะจ๋าต้องมาเจอช่วงฤดูฝนที่ลูกค้าเริ่มน้อยลง ตามมาด้วยเทศกาลกินเจบ้าง เข้าพรรษาบ้าง ทุกปัจจัยมีผลต่อจำนวนลูกค้า และแน่นอนว่ารายได้ที่เคยมีเข้ามามากก็เริ่มน้อยลง
ขณะที่รายได้เริ่มลดลง แต่รายจ่ายยังเท่าเดิม ทั้งค่าผ่อนรถ ค่าเช่าคอนโด ค่าเช่าร้าน รวมถึงเงินเดือนลูกจ้างในร้าน ทำให้เครียดกับการที่ต้องฝืนแบกรับภาระมาพักใหญ่ เพราะทุนที่มีก็ค่อย ๆ น้อยลงจนแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
แต่จะให้ลูกจ้างที่ช่วยงานและกินอยู่ด้วยกันมานานลาออกไปก็ทำไม่ลง เพราะเห็นใจเขา เมื่อเกิดปัญหานี้ขึ้นเลยรู้ได้ทันทีว่า ที่ผ่านมาเราลงทุนด้วยความไม่รู้ และไม่เคยศึกษาแนวทางการลงทุนให้มากพอ
ที่สำคัญคือปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาจากจ๋าบริหารพลาดเอง
จึงได้บทเรียนสำคัญในชีวิตที่จ๋าจะใช้เตือนตัวเองเสมอว่า ต่อไปจะลงทุนทำธุรกิจอะไรต้องมั่นใจว่าตัวเองรู้จริง ต้องคิดหน้าคิดหลังให้มากกว่านี้ก่อนจะลงมือทำ
เพราะถ้าขาดความรู้ความเข้าใจ ต่อให้ทำอะไรเล็กใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีทางสำเร็จ
“เมื่อพบต้นแบบของตัวเองแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในใจไม่ใช่ความอิจฉา แต่เป็นความชื่นชม และมุ่งมั่นจะทำชีวิตตัวเองให้ดีเหมือนเขาให้ได้”
ช่วงที่จ๋ายังทำงานพริตตี้ มีครั้งหนึ่งที่ต้องไปแจกตัวอย่างแชมพูริมฟุตปาธ และก็ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งที่มาเป็นพริตตี้ด้วยกัน จ๋าสะดุดตาเพราะเขาสวยจนอดถามไม่ได้ว่า ทำไมเขาถึงมาทำงานนี้ ทั้งที่ดูแล้วเขาน่าจะมีโอกาสที่ดีกว่า
“แฟนพี่ขายลูกชิ้นทอด พี่เลยมาทำพริตตี้ จะได้มีรายได้ 2 ทาง”
เขาตอบมาแบบนี้ เลยทำให้จ๋าประทับใจมาก เพราะเขาพูดถึงอาชีพตัวเองด้วยความภูมิใจในสิ่งที่เลือกทำ ไม่สร้างภาพ ไม่อายที่จะทำมาหากิน ไม่ได้ปกปิดเพราะกลัวคนจะมองว่าอาชีพตัวเองไม่สวยหรู
ผู้หญิงคนนี้ก็คือ ‘เจ๊อีฟ’ เพื่อนพริตตี้คนหนึ่งที่เคยทำงานด้วยกัน ซึ่งแม้หลังจากนั้นเราสองคนจะห่าง ๆ กันไปแต่จ๋าก็ไม่เคยลืม จนมาวันหนึ่งเมื่อมีเพื่อนฝูงเข้ามาช่วยตอกย้ำความจำนี้ในร้านหมูกระทะด้วยเรื่องที่บอกเล่ากันว่า
“จำพี่อีฟได้ไหม…ตอนนี้พี่อีฟรวยมาก”
ได้ยินแค่นี้จ๋าตาโตทันที แอบคิดว่าทำไมเขาถึงรวย เขาไปทำมาหากินอะไรถึงได้รวยขึ้นทั้งที่เมื่อก่อนยังยืนเป็นพริตตี้ข้าง ๆ จ๋าอยู่เลย แถมตอนนี้เจ๊อีฟรวยแล้ว แต่จ๋ากำลังจะแย่กับธุรกิจหมูกระทะ
คืนนั้นจ๋ากลับถึงบ้านไปไล่ดู Instagram ของเจ๊อีฟตั้งแต่รูปปัจจุบันย้อนไปถึงรูปแรกจนเกือบ 7 โมงเช้าไม่หลับไม่นอน จ๋าเห็นเจ๊อีฟยิ่งสวยและมีชีวิตที่ดูดีมาก
เจ๊อีฟกลายเป็นแรงบันดาลใจให้จ๋ามาตั้งแต่วันนั้น
จ๋าไม่เคยมีคำว่าอิจฉาเลย มีแต่ความชื่นชมและทึ่งในชีวิตที่เปลี่ยนไปของเจ๊อีฟ คิดอยากทำชีวิตตัวเองให้ดีเหมือนเขาบ้าง ยิ่งได้เห็นวิธีการใช้ชีวิตของเจ๊อีฟแล้วยิ่งทำให้รู้สึกนับถือ
เพราะแม้จะรวยแล้วแต่จ๋าก็ยังเห็นเจ๊อีฟใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่เคยอวดรวยเหมือนที่เคยเห็นคนอื่นเป็น จ๋าจึงยิ่งนับถือและศรัทธาในตัวเจ๊อีฟมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในสังคมนี้มีเถ้าแก่น้อยร้อยล้านอยู่เยอะก็จริง แต่จ๋าไม่สามารถสัมผัสได้ว่าเขาเคยจนมาก่อนจริงไหม เพราะเราไม่เคยรู้จักชีวิตจริงของเขา เราไม่รู้ที่มาที่ไปของเขา
แต่กับเจ๊อีฟ นี่คือคนที่เคยเป็นพริตตี้แจกของอยู่ข้าง ๆ จ๋านี่เอง
เมื่อจ๋าพบต้นแบบหรือไอดอลของตัวเองแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในใจไม่ใช่ความอิจฉา แต่เป็นความชื่นชม และมุ่งมั่นจะทำชีวิตตัวเองให้ดีเหมือนเขาให้ได้สักวันหนึ่ง
เพราะฉะนั้นถ้าเจ๊อีฟทำได้จ๋าก็ต้องพยายามทำให้ได้เหมือนกัน ไม่เคยคิดจะชิงดีชิงเด่น แต่ยกให้เจ๊อีฟเป็นต้นแบบหรือไอดอลที่จ๋าจะยึดเป็นตัวอย่าง ถ้าวันนี้เจ๊อีฟรวยได้ จ๋าก็ต้องรวยได้เหมือนกัน
จึงตั้งเป้าที่จะเป็นอย่างไอดอลคนนี้ให้ได้
“เชื่อในความเป็นตัวเอง และนำเสนอความเป็นตัวเองออกมาอย่างจริงใจ”
จังหวะชีวิตจ๋าเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่อวันหนึ่งเจ๊อีฟติดต่อมาเพื่อให้รีวิวอาหารเสริมที่ช่วยเกี่ยวกับเรื่องผิว จ๋าขอทดลองกินดูก่อน ถ้าของดีจริงก็ยินดีจะรีวิวให้ฟรี โดยที่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเจ๊อีฟคือคนที่จะเข้ามามอบโอกาสดี ๆ ให้ชีวิต
รู้แค่ว่าถ้าของดี จ๋าก็อยากบอกต่อ
จ๋ากินอาหารเสริมตัวนี้ไประยะหนึ่งก็เริ่มมีเพื่อนเข้ามาทักว่าไปทำอะไรมา ทำไมขาวขึ้น ดูดีกว่าตอนเป็นพริตตี้ช่วงแรกๆ เสียอีก จ๋าเลยเพิ่งมาสังเกตตัวเองว่าผดเล็ก ๆ จากที่ต้องแต่งหน้าหนัก ๆ มาตั้งแต่เด็กเริ่มหายไป ผิวเริ่มดีขึ้น
เห็นผลชัดขนาดนี้จ๋าโทรหาเจ๊อีฟเพื่อขอรับอาหารเสริมมาขายทันที
เมื่อสินค้ามีคุณภาพดีอยู่แล้ว และจ๋าก็ใช้เองจนเห็นผล เพราะฉะนั้นขายไม่ยาก เราเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดให้ลูกค้าได้เห็นและพิจารณา สุดท้ายทุกอย่างก็ขับเคลื่อนไปได้ด้วยตัวเอง อาหารเสริมขายดีมาก และทุกคนเริ่มบอกต่อกัน
ตอนนั้นจ๋ายังไม่ได้คิดถึงเรื่องการเป็นตัวแทนจำหน่ายเลย คิดอย่างเดียวว่าจะต้องขายให้ได้เพราะเงินก้อนสุดท้ายคงไม่พอที่จะหล่อเลี้ยงร้านหมูกระทะอีกแล้ว
แต่กลายเป็นว่ารายได้จากอาหารเสริมเข้ามาช่วยชีวิตจ๋าไว้ได้ทัน
ถัดมาเจ๊อีฟออกผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เป็น ‘สบู่ผิวขาว’ จ๋ารับมาทดลองใช้ก่อนเช่นเคย คิดดูว่าจ๋าผิวดำมาทั้งชีวิต แต่สบู่ตัวนี้ช่วยได้และเห็นผลชัดมาก ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว จ๋าบอกตัวเองว่าต้องสั่งมาขายเดี๋ยวนี้เลย
แม้เจอของดีแล้วจะขายไม่ยาก แต่จะออกแบบการขายของตัวเองอย่างไรดี นี่คือคำถามที่จ๋าถามตัวเอง และก็ตอบตัวเองได้ว่า เราต้อง ‘เชื่อในความเป็นตัวเอง’
จ๋าจึงเลือกขายในสไตล์ที่ตัวเองถนัด ในเมื่อสินค้าดีอยู่แล้วจ๋าก็ขายแบบตรงไหนตรงมาไปเลย นำเสนอให้ลูกค้าเห็นกันชัด ๆ ว่าสินค้าดีอย่างไร และเห็นผลอย่างไร ซึ่งจ๋าเชื่อว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
จ๋าขายสบู่ในร้านหมูกระทะโดยถือสบู่เดินนำหน้า มีลูกน้องหิ้วถังน้ำเดินตามหลัง แวะทุกโต๊ะเพื่อขออนุญาตฟอกสบู่ลงบนแขนลูกค้าให้เห็นกันชัด ๆ และในที่สุดลูกค้าหมูกระทะก็กลายเป็นลูกค้าสบู่ของจ๋ากันหมด
อาหารเสริมขายดี สบู่ก็ยิ่งขายดี ของดีจะขายตัวมันเองได้ไม่ยาก วิธีการขายของจ๋าไม่มีหลักสูตรที่จะสอนใคร จ๋าคิดแค่ว่าถ้าตัวเองเป็นลูกค้า มีรีวิวสินค้าแบบไหนที่เราเห็นแล้วชอบและจะซื้อทันที จ๋าก็ทำตามนั้น
และจ๋าก็ขายสบู่ผ่านเฟซบุ๊กด้วยในแนวทางเดียวกัน คือถ่ายคลิปรีวิวให้ลูกค้าเห็นผลจากการใช้จริง ไม่มีการตัดต่อคลิป เน้นขายความจริงผ่านคลิปยาวประมาณ 5 นาที
จ๋าต้องการให้เห็นว่าเราจริงใจที่จะขายของดีและไม่หลอกลวงลูกค้า
ปรากฏว่าหลังการรีวิวสบู่ขายดีแบบถล่มทลาย แถมคนที่อยู่ในย่านใกล้เคียงร้านหมูกระทะทั้งแม่ค้าและคนที่นำรถมาล้างในร้านใกล้ ๆ กันจ๋าก็ดึงมาเป็นลูกค้าหมดเลย
จากที่กำลังแย่จากร้านหมูกระทะ…ตอนนี้จ๋ารอดแล้ว
จ๋าขายผลิตภัณฑ์ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์โดยเริ่มจากการ ‘ทดลองใช้เอง เห็นผลเอง รีวิวเอง ขายเอง’ ใช้ความจริงใจนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ
และก็ยึดถือการขายด้วยความจริงใจเช่นนี้เสมอมาไม่เปลี่ยนแปลง
“ต้องคว้าทุกโอกาสไว้ อย่าปล่อยให้ผ่านไปเปล่า ๆ จนต้องมานั่งเสียดายทีหลัง”
ชีวิตจ๋าคงมาถึงวันนี้ไม่ได้หากขาดคนที่เข้ามามอบโอกาสให้ แต่ถึงอย่างนั้นคนแรกที่จ๋าควรขอบคุณก็น่าจะเป็นตัวเองด้วย ขอบคุณในความแข็งแกร่งและไม่เคยยอมแพ้กับโชคชะตาแม้จะรู้ว่าโชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอ
ที่ผ่านมาจ๋าทำทุกอย่างโดยไม่เคยเลือกงาน เพราะตั้งใจจะถีบตัวเองให้ขึ้นสู่จุดที่จะมีชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม อะไรก็ตามที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นจ๋ากล้าลุยทุกอย่างไม่เคยกลัวเลย
ต้องคว้าทุกโอกาสไว้ อย่าปล่อยให้ผ่านไปเปล่า ๆ จนต้องมานั่งเสียดายทีหลัง
แต่ถึงวันนี้ชีวิตจะดีขึ้นแล้วจ๋าก็ไม่เคยลืมว่าที่ผ่านมาตัวเองเคยลำบากขนาดไหน ทุกสิ่งที่ผ่านมาจ๋าเก็บเป็นประสบการณ์ชีวิต เป็นบทเรียนสำคัญไว้เตือนตัวเอง รวมถึงอยากแบ่งปันให้คนอื่นได้รู้ด้วย
ดีใจที่วันนี้หลายคนโดยเฉพาะตัวแทนจำหน่าย EVE’s มีจ๋าเป็นแรงบันดาลใจให้สู้และสร้างชีวิตให้ประสบความสำเร็จอย่างที่จ๋าเป็น
แต่มักจะมีคำถามว่า จะเริ่มต้นอย่างไรดี จะต้องทำอย่างไรก่อน
จ๋าเชื่อว่าโลกทุกวันนี้มีโอกาสมากมายให้เราได้ใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างชีวิต โดยเฉพาะ ‘โลกออนไลน์’ ด้วยแล้ว นี่คือช่องทางสำคัญที่ยังเปิดกว้างให้ทุกคนได้เข้ามาใช้ประโยชน์ได้อีกมาก
แม้แต่คนที่คิดว่าตัวเองไม่เก่งด้านเทคโนโลยี จ๋าก็ยังอยากให้ลองปรับตัวปรับมุมคิดของตัวเองมาเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือให้เป็น อย่าเพิ่งกลัวเทคโนโลยีใหม่ ๆ
เพราะจ๋าเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ชีวิตเราก้าวไปได้อีกไกล
จ๋าไม่ได้ชวนให้ทุกคนหันมาขายครีมหรือเครื่องสำอางกันหมด เพียงแต่อยากให้มองว่าโลกออนไลน์ทุกวันนี้ยังมีความน่าสนใจอีกมากมาย ซึ่งจะเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพได้ดีมาก
ระบบออนไลน์จะช่วยเพิ่มช่องทางทำมาหากิน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็สามารถทำงานทำเงินได้ อยากให้ลองดูจ๋าเป็นตัวอย่าง จ๋าไม่เคยอายที่จะขายของออนไลน์ เพราะนี่คืออาชีพสุจริตที่ใคร ๆ ก็ทำได้
และจ๋าก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป
บางคนไม่กล้าขายของผ่านเฟซบุ๊กตัวเองเพราะอายเพื่อน ในขณะที่อีกหลายคนขายออนไลน์จนรวยไปแล้ว และตัวจ๋าเองที่มาถึงวันนี้ได้ก็เพราะเริ่มต้นเร็ว
แต่ก็ไม่ถือว่าสายเกินไปหากวันนี้คุณต้องการเริ่มต้นเรียนรู้ที่จะดำเนินธุรกิจด้วยระบบออนไลน์ ยุคนี้ไปจนถึงอนาคตโลกธุรกิจจะเปลี่ยนไปสู่ระบบออนไลน์กันหมด
เชื่อจ๋าเถอะว่ามีโอกาสดี ๆ อยู่ในโลกออนไลน์มากมายจริง ๆ
แน่นอนอยู่แล้วว่าพ่อแม่เป็นผู้ให้ชีวิต จ๋าจึงทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีกำลังมากพอเพื่อจะเลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีความสุข เหมือนเก็บภาพความลำบากของพวกเราในอดีตใส่ลิ้นชักไว้ อาจหยิบออกมาพูดคุยกันบ้างเมื่อนึกถึงมัน
เพราะปัจจุบันนี้ครอบครัวเราสุขสบายกันมากพอแล้ว
และหากพ่อแม่คือผู้สร้างชีวิต เฮียโน้ตและเจ๊อีฟก็คือผู้ที่ให้ชีวิตใหม่กับจ๋า
การที่ได้รู้จักเฮียโน้ตและเจ๊อีฟถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จ๋าได้เปลี่ยนตัวเองหลายด้าน ได้เติบโตทั้งความคิดและความสามารถ โดยเฉพาะการซึมซับสิ่งดี ๆ จากทั้งสองมาไว้ในตัวเอง
ขอบคุณที่ให้โอกาสจ๋าได้เข้าร่วมเป็นผู้ขาย ตัวแทนจำหน่าย ก่อนจะให้โอกาสสำคัญกับการเข้าร่วมเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของ EVE’S และเมื่อได้รับโอกาสนี้จ๋าจะตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
การได้ร่วมงาน ได้รู้จักกันมากขึ้นทำให้จ๋าเห็นตัวตนของเฮียโน้ตและเจ๊อีฟมากขึ้นเช่นกัน ศรัทธาในแนวคิดที่ต้องการทำธุรกิจอย่างซื่อสัตย์ และตั้งใจผลิตสินค้าที่มีคุณภาพส่งต่อให้ลูกค้า ไม่ได้สักแต่จะทำกำไรให้ตัวเองฝ่ายเดียว
และแม้วันนี้จะสบายขึ้นกว่าก่อน แต่จ๋าก็ไม่เคยประมาทในการใช้ชีวิต ยังคงทำงานหนัก ยังใช้ชีวิตไม่ต่างจากเดิม เพราะไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น จ๋าจึงยังทำงานและเก็บเงินเพื่ออนาคตเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ไม่เคยประมาทกับชีวิตหรือหลงไปกับความสุขสบายที่มีเลย
นอกจากเฮียโน้ตและเจ๊อีฟแล้ว จ๋าก็ต้องขอบคุณลูกค้าทั้งในระบบออนไลน์และทุกคนที่อยู่รอบตัวซึ่งไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวจ๋า จ๋าเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้เก่งอะไรเลย แต่จ๋ามีความจริงใจที่เชื่อว่าทุกคนรับรู้ได้
จ๋าดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ EVE’S ที่ผ่านมา EVE’S เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป เราเติบโตด้วยคุณภาพ และ EVE’S มุ่งพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เฮียโน้ตคือหัวเรือใหญ่ในการบริหารงานทั้งหมด จ๋านับถือในการที่เป็นคนรักษาคำพูดและมีความรักความปรารถนาดีเผื่อแผ่ให้กับส่วนรวมอย่างมาก ดูแลทีมงานและตัวแทนจำหน่ายเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
เฮียโน้ตรักตัวแทนจำหน่ายมาก มีความพยายามที่จะปั้นให้ตัวแทนจำหน่ายทุกคนประสบความสำเร็จเหมือนจ๋า และจ๋าเชื่อมั่นว่าถ้าเฮียโน้ตพูดออกมาแล้วเขาจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
ส่วนเจ๊อีฟ นี่คือต้นทางในการคัดสรรวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน จ๋านับถือในความตั้งใจที่จะช่วยรักษาและแก้ปัญหาผิวให้แก่ลูกค้าโดยเลือกที่จะทดลองใช้ทุกผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเองก่อนทุกชิ้น
EVE’S โชคดีที่มีตัวแทนจำหน่ายคอยช่วยสนับสนุนตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ ตัวแทนจำหน่ายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และ EVE’S ยังมีลูกค้าช่วยกันรีวิวยืนยันผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์จริงอยู่ตลอด
ความเชื่อมั่นจึงสร้างทั้งยอดขายและจำนวนลูกค้ารายใหม่ให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ EVE’S ยังเปิดโอกาสให้กับลูกค้าที่ใช้สินค้าจริงได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ขายเพื่อสร้างรายได้ สร้างอนาคตให้ตัวเองอีกด้วย
ทุกคนจึงเป็นกำลังสำคัญในการเติบโตของ EVE’S จนในที่สุดโรงงานผลิตสินค้าของพวกเราก็เกิดขึ้น จ๋าจำได้เสมอในสิ่งที่เฮียโน้ตเคยพูดไว้ว่า ‘โรงงานเปรียบเสมือนบ้านที่มั่นคงของพวกเราทุกคน’
คำว่า ‘พวกเรา’ ไม่ใช่แค่เฮียโน้ต เจ๊อีฟ หรือจ๋า แต่หมายรวมถึงตัวแทนจำหน่ายทุกคนด้วย
พวกเรามี DNA เดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน และจะอยู่ในบ้านหลังเดียวกันนี้ตลอดไป